ตลาดหุ้นตอนนี้คงจะไม่มีข่าวไหนดังไปกว่าการพบทุจริต "วัตถุดิบคงคลัง" มูลค่ากว่า 2.1 พันล้านของ บมจ.โกลบอลกรีนเคมิคอล หรือ GGC ได้อีกแล้ว สาเหตุที่เป็นข่าวดังในแวดวงธุรกิจและตลาดหุ้นนั้นน่าจะมาจากเรื่องที่ราคาหุ้นร่วงในวันเดียวจนเกือบติดฟลอร์ทำให้นักลงทุนรายย่อยเสียหายกันเป็นจำนวนมาก อีกทั้งในเวลาไม่นานผู้บริหารของ GGC ก็ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่าได้ลาออกจากการเป็นกรรมการผู้จัดการ กลายเป็น 2 เด้ง กันเลยทีเดียว
นอกจากความเสียหายจะเกิดกับหุ้น GGC แล้วยังเกิดกับหุ้น PTTGC ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ทำให้รายย่อยจำนวนมาก รวมถึงกองทุน นักลงทุนต่างประเทศ เสียหายจากหุ้นที่ลงแรง จึงเกิดคำถามในเรื่อง "ธรรมาภิบาล" และการปกป้องรายย่อยของตลาดหลักทรัพย์ ที่ว่า "หุ้นระดับนี้ ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้" นี้คงเป็นคำถามในใจของรายย่อยหลายๆคน
ตามข่าวที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์พบว่าปริมาณวัตถุดิบคงคลังมูลค่ากว่า 2,100 ล้านบาท ขาดหายไป แต่หายไปอย่างไรได้นั้นยังไม่ทราบ .... ?
แล้วทำไมหุ้น GGC ถึงลง ?
ถ้าตอบในเชิงบัญชี "วัตถุดิบ" ถือเป็นสินทรัพย์ของบริษัท ถ้า GGC มีสินทรัพย์อยู่ที่ 14,488.88 ล้านบาท ด้วยความเสียหายประมาณ 2,100 ล้านบาท คิดเป็น 15% ของสินทรัพย์รวมถือว่ามากอย่างมีนัยยะสำคัญ
ถ้าตอบในเชิงของกำไร ด้วยความสามารถของ GGC ที่สามารถทำกำไรเฉลี่ยที่ 500 ล้านบาท จะต้องทำงานถึง 4 ปี ถึงจะสามารถหาเงินได้ถึง 2,100 ล้านบาท ถือว่าเป็นระยะเวลาที่นานพอสมควร
ถ้าตอบในเชิงความมี "ธรรมมาภิบาล" ก็ต้องถูกตั้งคำถามต่อผู้ลงทุนและกองทุนระดับประเทศ ว่าบริษัทมีชื่อเสียงระดับนี้ เป็นหนึ่งในเครือปตท. ที่เป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติ ทำไมถึงปล่อยให้มีการ "สต๊อคลม" เกิดขึ้นได้ ตรงนี้จะเป็นประเด็นสำคัญ เพราะเชื่อเสียงต้องใช้ระยะเวลาในการสร้าง และที่สำคัญมันสร้างยากมาก
GGC วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสหรือความเสี่ยง
วิกฤต "สต๊อคลม" ครั้งนี้ทำให้ผู้เขียนนึกถึงเรื่องหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นในอเมริกา วิกฤตน้ำสลัด (Salad Oil scandal)ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหุ้น American Express บริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกา สินค้าคงคลังที่ถูกประเมินว่าคือน้ำสลัดที่มีมูลค่ากลับกลายมาเป็น "น้ำเปล่า" ไม่ต่างกับ "สต๊อคลม" ที่ GGC กำลังเจอ นักวิเคราะห์คาดกันว่าจะกระทบกับหุ้น American Express
อย่างมีนัยยะสำคัญ ต้องตั้งสำรอง ต้องขาดทุนกี่ปี งดจ่ายปันผลกันกี่ปี ...
เวลาผ่านไปหลายเดือน วอเร็น บัฟเฟตต์จึงเข้าไปซื้อหุ้น American Express และทำกำไรได้อย่างงดงามเป็นการ "กล้าซื้อ ในขณะที่คนอื่นกลัว" ..
ผู้อ่าน อ่านมาถึงตรงนี้คงจะมีคำถามในใจว่า "ฉันควรจะซื้อ ใช่หรือไม่" ...
ผู้เขียนขอตอบว่า "ไม่ใช่ครับ" เนื่องจากหุ้นก็เป็นคนละตัวกัน พื้นฐานก็แตกต่างกัน บริบทของสถานการณ์ก็แตกต่างกัน ดังนั้นการนำไปเปรียบเทียบกับสถานการณ์ของ American Express แล้วตัดสินไปเลยว่า "ซื้อ" อาจจะยังไม่เพียงพอมากนัก สิ่งที่นักลงทุนควรทำ คือ ถ้าสนใจจริงๆควรจะศึกษาแนวทางของธุรกิจอย่างเข้าใจ บริษัททำมาหากินอย่างไร แล้ววิกฤตในครั้งนี้จะกระทบกับมูลค่าของบริษัทเหลือเท่าไร ราคาหุ้นที่เราจะซื้อควรจะเป็นเท่าไร และที่สำคัญ คือ เงินก้อนนี้ "เย็น" ขนาดไหน ...
นักวิเคราะห์มองอย่างไรบ้าง ?
บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า วิเคราะห์ไว้ว่า "วัตถุดิบคงคลังหาย กระทบกับพื้นฐานอย่างมีนัยสำคัญ" บริษัทต้องตั้งสำรอง 2.1 พันล้านใน 2Q61 กระทบกับส่วนของผู้ถือหุ้น ส่งผลให้ D/E ปรับตัวขึ้นและไม่สามารถจ่ายเงินปันผล แนะ "เปลี่ยนตัว" ไปเข้า BANPU หรือ PTTGC แทน อยู่ในช่วงการปรับราคาใหม่
บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า มูลค่า 2.1 พันล้านบาทคิดเป็น 14% ของสินทรัพย์รวม แม้เรื่องนี้จะไม่มีผลกระทบกับการดำเนินงาน แต่ชื่อเสียงเสียหายอย่างมาก ปรับเป้าราคาลงเหลือ 11 บาท แนะนำ "Neutral"
"เด็กแนว" นักวิเคราะห์ชื่อดัง ได้เขียนบทวิเคราะห์เอาไว้ว่า บริษัทต้องต้ังสำรองอาจจะกระทบให้ขาดทุน กำไรสะสมจาก 400 กว่าล้านอาจต้องกลายเป็นขาดทุนสะสม 1 พันล้านบาท โครงการลงทุนต่างๆอาจจะล่าช้าออกไปเรียกได้ว่ากระทบกับพื้นฐานอย่างมาก
สรุปแล้ว Book Value จาก 10.8 บาท อาจจะเหลือเพียง 8.4 บาท และราคาพื้นฐานอาจะเหลือเพียง 10 บาทเท่านั้นภายใต้สมมุติฐาน P/Bv ที่ 1.2 เท่า
== Bottom Line ==
นี้ก็เป็นความเห็นของนักวิเคราะห์ส่วหนึ่งเท่านั้น การลงทุนขึ้นอยู่กับมุมมองส่วนบุคคล แต่สำหรับเวลานี้ หุ้น GGC อยู่ในสถานการณ์ "พร่ามัว" อย่างมาก อนาคตยังไม่ชัดเจน ผู้บริหารยังไม่ Take Action อะไรมาก นักลงทุนต้องใช้เวลานี้ทำการบ้านหุ้น GGC ให้ดี ก่อนการตัดสินใจลงทุนครับ ถ้าเรามองว่าหุ้นลงมาถึงระดับหนึ่งจนมี Margin of Safety มากพอแล้ว หุ้นลงรอบนี้ก็ถือว่าเป็นโอกาส แต่ถ้าเราเคร่งครัดในเรื่องความโปร่งใสของ "ธรรมาภิบาล" หุ้นลงรอบนี้ก็ถือว่าเป็นความเสี่ยงครับ ..