ท ำไมธนำคำรกลำงต้องรักษำ “เสถียรภำพระบบกำรเงิน”?
นายสุพริศร์ สุวรรณิก
ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค
ธนาคารแห่งประเทศไทย
เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2561 คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติ5 ต่อ 2 เสียงให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี (จากร้อยละ 1.50 เป็น 1.75 ต่อปี) ซึ่งเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 7 ปี โดยมีเหตุผลหลักเพื่อลดควำมเสี่ยงด้ำนเสถียรภำพระบบกำรเงิน ขณะที่เศรษฐกิจในภาพรวมขยายตัวได้ต่อเนื่องและอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบเป้าหมายใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ และเมื่อ 2 วันที่แล้ว (6 ก.พ. 2562) แม้ว่าคณะกรรมการฯ ส่วนใหญ่จะมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 1.75 ต่อปี เนื่องจากประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยระดับปัจจุบันมีส่วนช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจและสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแต่ยังมีกรรมกำร 2 ท่ำนที่เห็นควรให้ปรับขึ้นอัตรำดอกเบี้ยนโยบำยอีกร้อยละ 0.25 ต่อปี โดยยังคงให้น้ ำหนักต่อควำมกังวลด้ำนเสถียรภำพระบบกำรเงิน ท าให้ผู้อ่านบางท่านอาจสงสัยว่าเหตุใดเรื่องเสถียรภาพระบบ
การเงินจึงมีความส าคัญนัก
เสถียรภำพระบบกำรเงินคืออะไร เพรำะเหตุใดจึงส ำคัญ?
เสถียรภาพระบบการเงิน (financial stability) คือ ความมั่นคงของระบบการเงินเพื่อท าหน้าที่เป็นตัวกลางในการด าเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ระบบการเงินมีขอบเขตที่กว้างมาก ไม่ได้ครอบคลุมเพียงสถาบันการเงินในการเป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้ออมและผู้ลงทุนเท่านั้น แต่รวมถึงระบบการช าระเงินตลาดเงิน ตลาดทุน ตลอดจนธุรกิจประกันภัย อันเป็นช่องทางในการบริหารความเสี่ยง ดังนั้น ระบบกำรเงินที่มีเสถียรภำพจึงมีควำมส ำคัญ เพรำะหำกขำดเสถียรภำพอำจสำมำรถลุกลำมเป็นวิกฤตกำรเงิน (financialcrisis) ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจและควำมเป็นอยู่ของประชำชน ดังเช่น วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในสหรัฐฯ เมื่อปี 2551 ที่ระบบการเงินขาดเสถียรภาพจากการมีอัตราดอกเบี้ยต่ า กล่าวคือ สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแก่ผู้กู้ที่มีความเสี่ยงสูง (ซับไพรม์) มากเกินไปในช่วงอัตราดอกเบี้ยต่ า จนเกิดการผิดนัดช าระหนี้มากกว่าคาด ส่งผลลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างมาก และส่งผลต่อเนื่องไปยังเศรษฐกิจประเทศอื่น ๆ
เป็นวงกว้างด้วย
เสถียรภำพระบบกำรเงินไทยตอนนี้เป็นอย่ำงไรบ้ำง?
ในปัจจุบัน ระบบกำรเงินไทยโดยรวมมีเสถียรภำพอยู่ในเกณฑ์ดี ระบบสถำบันกำรเงินมีควำมมั่นคงและมีเกรำะป้องกันแรงกระทบจำกภำยนอกคือเสถียรภำพด้ำนต่ำงประเทศที่เข้มแข็ง สะท้อนจากภาระหนี้ต่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ า เงินส ารองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง และดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลต่อเนื่องท าให้สามารถรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจการเงินโลกได้ดีอย่ำงไรก็ตำม ยังมีควำมเสี่ยงบำงจุด (pocketof risks) ที่ต้องจับตำมองใกล้ชิด และอำจสร้ำงควำมเปรำะบำงต่อเสถียรภำพระบบกำรเงินในอนำคตได้ส่วนหนึ่งเป็นเพรำะอัตรำดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ ำเป็นเวลำนำนในช่วงที่ผ่ำนมำ อาทิ2/2
1) ฐำนะทำงกำรเงินของภำคครัวเรือนที่ยังคงเปรำะบำง โดยเฉพำะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มสูงขึ้นเร็วกว่ำรำยได้สะท้อนจากสัดส่วนหนี้ต่อ GDP ที่เริ่มเพิ่มขึ้นในไตรมาส 3 ปี
2561 หลังจากที่ลดลงต่อเนื่องจากจุดสูงสุดในไตรมาส 4 ปี 2558
2) ภำคอสังหำริมทรัพย์ที่สถำบันกำรเงินแข่งขันกันปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อำศัยโดยยอมรับควำมเสี่ยงที่สูงขึ้น ส่งผลให้มำตรฐำนกำรปล่อยสินเชื่อ (credit standard) ลดลง หากเกิด
ปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ (economic shock) อาจท าให้ผู้ที่กู้เงินจนเกินตัวหรืออยู่ปริ่มน้ าไม่สามารถช าระหนี้ได้ และลุกลามไปสู่ฐานะทางการเงินของครัวเรือนข้างต้น นอกจากนี้ ยังเอื้อต่อการเก็งก าไรในอสังหาริมทรัพย์ และสร้างอุปสงค์เทียมท าให้ราคาที่อยู่อาศัยสูงขึ้นกว่าความเป็นจริง และท าให้ผู้ต้องการที่อยู่อาศัยจริงต้องรับภาระในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ราคาสูงเกินจริง
3) พฤติกรรมกำรแสวงหำผลตอบแทนที่สูงขึ้น (search for yield) อำจน ำมำสู่กำรประเมินควำมเสี่ยงต่ ำกว่ำควำมเป็นจริง (underpricing of risks) ภำยใต้ภำวะอัตรำดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ ำ
เป็นเวลำนำน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เห็นได้ในทุกภาคส่วน ตั้งแต่ครัวเรือนที่บางส่วนกู้ยืมเกินตัวสหกรณ์ออมทรัพย์ที่กู้เพื่อไปลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง หรือกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่มี
การระดมทุนในตลาดตราสารหนี้และจากธนาคารพาณิชย์เพื่อขยายการลงทุนไปยังธุรกิจอื่น ๆนอกจากธุรกิจหลักดั้งเดิม
มำตรกำรต่ำง ๆ ที่ ธปท. ด ำเนินกำรไปก่อนหน้ำยังไม่เพียงพอในกำรดูแลเสถียรภำพอีกหรือ?
บ างท่ านอ าจสงสัยว่ าม าต รก า รแก้ปัญห าหนี้ค รั วเ รือนห รือม าต รก า รดูแลในเชิงป้องกัน(macroprudential policy) เช่น มาตรการ Loan-to-value (LTV) ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยลดความเปราะบางอีกหรือ จึงต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเมื่อเดือน ธ.ค. 2561 ซึ่งตามที่ได้กล่าวข้างต้น ความเปราะบางไม่ได้จ ากัดอยู่ที่ภาคครัวเรือนหรืออสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่สะสมอยู่ในหลำยภำคส่วนที่เชื่อมโยงกัน และอำจท ำให้เกิดควำมเสี่ยงเชิงระบบ (systemic risk) โดยหำกเกิดควำมเสียหำยในจุดหนึ่งอำจลุกลำมต่อเนื่องเป็นโดมิโนแก่ทั้งระบบเศรษฐกิจได้ดังนั้น เมื่อการพึ่งพานโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากในระดับที่ผ่านมามีความจ าเป็นน้อยลง การใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งมีประสิทธิผลในวงกว้าง ย่อมเป็น “การกันไว้ดีกว่าแก้” เพราะยามปกติ
มักจะไม่มีใครเห็นความส าคัญของเสถียรภาพ แต่หากเกิดวิกฤตแล้วจะย้อนกลับมาถามว่า “เหตุใดจึงไม่ป้องกันเสียแต่แรก?”
เสถียรภำพระบบกำรเงินไทยในระยะต่อไป
ด้วยความเชื่อมโยงกับระบบการเงินโลกและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจการเงินโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนต่อเนื่อง ส่งผลให้ระบบการเงินไทยมีโอกาสได้รับผลกระทบสูง จึงจ าเป็นต้องเฝ้าระวังในการจับสัญญาณความเสี่ยงต่าง ๆ ให้เร็วและทันการณ์ และเตรียมพร้อมรับมือเสมอโดยใช้มาตรการดูแลในเชิงป้องกันควบคู่กับการใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่มีประสิทธิผลในวงกว้างในเวลาที่เหมาะสม เพรำะหำกไม่ได้มองภำพเศรษฐกิจและเสถียรภำพระบบกำรเงินเป็นองค์รวม เปรียบเสมือนมองไม่เห็นทั้งป่ำ และไม่รู้ว่ำเริ่มมีควันไฟอยู่ในบำงจุดที่
อำจลำมไปทั่วป่ำได้แล้ว ควำมเสียหำยอำจเกิดตำมมำได้เกินประมำณ
--------------------------------------------------------------
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จ าเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่มาเนื้อหาจาก..www.bot.or.th