“งานศิลปะ” การลงทุนทางเลือก ผลตอบแทนสูง กว่าที่คิด - BillionMoney

งานศิลปะ นอกจากจะเป็นงานสร้างสรรค์ และเป็นของสะสมแล้ว ก็ยังเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทน ไม่น้อยเลยทีเดียว
โดยผลสำรวจของ Masterworks แพลตฟอร์มลงทุนงานศิลปะออนไลน์ พบว่า ระหว่างปี 1995-2021 การลงทุนในงานศิลปะร่วมสมัย ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 13.8% ต่อปี
ในขณะที่ถ้าเราลงทุนใน
- ดัชนี S&P 500 จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10.2% ต่อปี
- อสังหาริมทรัพย์ จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8.9% ต่อปี
- ทองคำ จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7.2% ต่อปี
นอกจากนี้ Knight Frank Luxury Investment Index ยังพบอีกว่า มูลค่าของงานศิลปะโดยเฉลี่ย ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 13% ระหว่างปี 2020-2021
ซึ่งการจะลงทุนในงานศิลปะ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่านั้น เราก็จำเป็นต้องรู้วิธีในการประเมินมูลค่าให้ถูกต้อง
แล้วมูลค่าของงานศิลปะนั้น ประเมินกันอย่างไร
BillionMoney จะมาย่อยให้ฟัง แบบเข้าใจง่าย ๆ
อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติผู้ล่วงลับ เคยให้ความเห็นเอาไว้ว่า ศิลปะ คือ การทำงานที่เกิดมาจากความรัก ความมุ่งมั่น ความศรัทธา ประสบการณ์ และหลอมรวมออกมา เป็นพลังขับเคลื่อน ที่เป็นรูปลิ่มของมนุษย์ ในทางสุนทรียภาพ ซึ่งจะต้องประกอบไปด้วย 6 องค์ประกอบ
1. ต้องมีความเป็นอิสระ
2. ต้องมีการแสดงออกถึงรูปอารมณ์ ของความสะเทือนใจ
3. ต้องมีท่วงท่าของจิตวิญญาณที่เป็นอิสระ และร้อนเร่าด้วยเพลิงปรารถนา หรือความก่ำไหม้ของอารมณ์
4. ต้องมีปัจเจกลักษณะส่วนตัว ของบุคคลผู้ซึ่งสร้างงานศิลปะนั้น
5. ต้องมีความผสานกลมกลืน
6. ต้องเป็นสุดยอดของเทคนิค
นอกจากนี้ อาจารย์ถวัลย์ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมไว้อีกว่า
องค์ประกอบทั้ง 6 อย่างนี้ ยังสามารถใช้พิจารณางานจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม วรรณกรรม และนาฏกรรม ได้ว่างานเหล่านั้น คืองานที่มีคุณค่าทางศิลปะที่แท้จริงหรือไม่
ในขณะที่การประเมินมูลค่าของงานศิลปะ เพื่อการลงทุนนั้น
เราก็สามารถตรวจสอบตามขั้นตอนต่อไปนี้ ว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนหรือไม่
- ศิลปิน ที่สร้างสรรค์งานศิลปะนั้น มีชื่อเสียงหรือไม่ มีความโดดเด่นในศิลปะด้านใด มีแนวโน้มว่าจะทำงานศิลปะต่อไปหรือไม่ และที่ผ่านมา มีพัฒนาการเป็นอย่างไร
- วัสดุ ที่ใช้สร้างงานศิลปะนั้นคืออะไร
- ขนาดของงานศิลปะ โดยมีขนาดใหญ่หรือขนาดเล็ก
- กระแส หรือก็คือแนวของงานศิลปะชิ้นนั้น ได้รับความนิยมในช่วงเวลานั้นหรือไม่
- สภาพงานศิลปะ ยังอยู่ในสภาพดีหรือไม่
- จำนวนของงานศิลปะ ซึ่งถ้ายิ่งมีน้อย ราคาก็จะยิ่งสูง
- เรื่องราว ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินสร้างงานศิลปะชิ้นนั้นขึ้นมา มีความน่าสนใจหรือไม่
- เนื้อหา ที่สอดแทรกเข้ามาโดยผู้สร้างงานศิลปะ มีความน่าสนใจหรือไม่
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนน่าจะสังเกตเห็นว่า การลงทุนในงานศิลปะนั้น ก็อาจจะคล้ายกับการลงทุนในบริษัท
โดยตราบใดที่ศิลปิน ยังสร้างงานศิลปะ มีการพัฒนาฝีมือ
และนำงานศิลปะออกจัดแสดง ให้สาธารณชนได้เห็นอย่างต่อเนื่อง งานศิลปะของศิลปินท่านนั้น ก็จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น งานศิลปะของ Pablo Picasso โดยผลงานที่สร้างสรรค์ออกมาในแต่ละยุค ก็จะมีความแตกต่างกัน
เพราะตัวศิลปิน มีพัฒนาการอยู่ตลอด
และชื่อเสียงของ Picasso ก็โด่งดัง มีการจัดแสดงงานศิลปะอย่างต่อเนื่อง ทำให้มูลค่าของงานศิลปะก็ยิ่งสูงขึ้นตาม
ถ้าเรามีเงินลงทุนสูง เราก็อาจซื้องานศิลปะของศิลปินที่ประสบความสำเร็จ เก็บเอาไว้ได้
แต่ถ้าเรามองหาศิลปินที่ดูมีแววจะกลายเป็นศิลปินดังได้ในอนาคต และซื้องานศิลปะเก็บสะสมเอาไว้ ในตอนที่ราคายังถูกอยู่
วันหนึ่ง เมื่อศิลปินเหล่านั้นมีชื่อเสียงขึ้นมา ผลงานที่เราสะสมไว้ ก็จะมีมูลค่ามากขึ้นแบบก้าวกระโดดได้เหมือนกัน
แต่ก็แน่นอนว่า การลงทุนในงานศิลปะ ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากการลงทุนรูปแบบอื่น ๆ เพราะเมื่อไรก็ตามที่เราลงทุนไปแล้ว แต่ผลลัพธ์มันออกมาไม่ได้เหมือนกับที่เราคาดการณ์ไว้ เราก็จะ ขาดทุน ได้เช่นกัน..