5 เรื่องต้องรู้! เมื่ออยากลงทุน “หุ้นขนาดเล็ก”

.
หลังจากกรณีหุ้น MORE (บมจ.มอร์ รีเทิร์น) ที่สะเทือนวงการหุ้น ทำให้นักลงทุนตั้งคำถามมากขึ้นว่าควรลงทุน “หุ้นเล็ก” อย่างไรเพื่อไม่ให้เจ็บตัว (โดนหลอก) คำตอบคงหนีไม่พ้น “ดูดี ๆ”
.
ปัจจุบัน หุ้นขนาดเล็กได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในกลุ่มของนักลงทุนที่ชอบความท้าทาย เพราะโดยปกติแล้ว หุ้นขนาดเล็กมักมีการเคลื่อนไหวของราคาแบบมาไวและไปไว ทำให้นักลงทุนต้องใช้กลยุทธ์ “เข้าไวและออกไว” ตามไปด้วย เพื่อป้องกันการ “ติดหุ้น”
.
แล้วอะไรเป็นสาเหตุการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในลักษณะนี้? และนี่คือ 5 คำตอบสำหรับเสริมความเข้าใจ ที่นักลงทุนต้องรู้ไว้ ถ้าอยากลงทุนใน "หุ้นขนาดเล็ก"
.
1. กำไรสุทธิผันผวนกว่าหุ้นขนาดใหญ่
.
เป็นเรื่องปกติของหุ้นขนาดเล็ก เพราะฐานกำไรยังเล็ก บางบริษัทมีลูกค้ารายใหญ่เข้ามาแต่เข้ามาเพียงชั่วคราว จึงทำให้กำไรสุทธิดีขึ้นชั่วคราว อีกไม่นานก็จะกลับเข้าสู่ระดับปกติ หรือบางบริษัทยังบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายไม่ดีพอ จึงไม่สามารถรองรับความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจได้
.
2. สภาพคล่องในการซื้อขายน้อย
.
ด้วยปริมาณการซื้อขายทั้ง Bid และ Offer ที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้ราคาหุ้นขนาดเล็กขึ้นลงเร็วกว่าหุ้นขนาดใหญ่ และแม้ปริมาณการซื้อขายบางช่วงจะหนาแน่น แต่ก็เป็นเพียงช่วงสั้น ๆ ที่มีการประกาศผลประกอบการหรือประกาศข่าวดี และเมื่อผ่านพ้นช่วงนั้นไป Bid และ Offer จากที่วางกันช่องละระดับแสนหุ้น ก็ลดลงอย่างรวดเร็วเหลือเพียงช่องละหลักพักหรือหลักหมื่นหุ้น
.
3. ขาดแรงหนุนจากนักลงทุนสถาบัน
.
หุ้นที่ขาดแรงหนุนจากนักลงทุนสถาบันมักจะปรับตัวได้ไม่ไกลแล้วอ่อนตัวลง เพราะนักลงทุนในประเทศสามารถตัดสินใจซื้อขายได้ง่ายกว่านักลงทุนสถาบัน ไม่ต้องมีกฎมีเกณฑ์ต่างๆ มากมาย อีกทั้งการที่นักลงทุนสถาบันไม่ให้ความสำคัญกับหุ้นขนาดเล็ก ยังทำให้มีแรงของอุปสงค์ไม่ใหญ่พอกับอุปทาน ทำให้ราคาไม่สามารถปรับตัวขึ้นแรงและยั่งยืนได้
.
4. ผู้บริหารให้ข้อมูลเชิงบวกมากเกินไป
.
เช่น แค่ไปทานข้าวกับพันธมิตรทางธุรกิจก็นำมาเล่าให้นักลงทุนฟัง ทั้งที่ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ เมื่อเวลาผ่านไปแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงทำให้ราคาหุ้นทรุดหนักจากความคาดหวังเชิงบวกที่เปลี่ยนเป็นเชิงลบแทน (อย่าลืมว่าอารมณ์เชิงลบแรงกว่าเชิงบวกมากพอสมควร) ราคาหุ้นจะปรับลดลงหนักกว่าก่อนผู้บริหารให้ข่าวด้วยซ้ำ
.
5. หุ้นขนาดเล็กมักตกเป็นเป้าในการสร้างราคา
.
หุ้นที่มักถูกขบวนการปั่นหุ้นเข้าไปปั่นนั้นมักเป็นหุ้นที่มีมูลค่าทางตลาดต่ำ เนื่องจากใช้เงินทุนจำนวนน้อย มีสภาพคล่องในการซื้อขายน้อย มีจำนวนหุ้นหมุนเวียน (Free Float) น้อย หรือมีปัจจัยพื้นฐานไม่ค่อยดี
.
โดยพฤติกรรมการปั่นหุ้นมีหลากหลายรูปแบบ เช่น เริ่มต้นจากที่กลุ่มปั่นหุ้นมักจะเก็บสะสมหุ้นในราคาต่ำและหาวิธีไล่ราคาหุ้นขึ้นไปเพื่อจูงใจให้นักลงทุนรายใหม่เข้ามาซื้อ แล้วก็หาจังหวะปล่อยหุ้นเมื่อราคาถึงเป้าหมาย
.
ถ้าถามว่าแล้วปล่อยหุ้นไปตอนไหน คำตอบ คือ ทยอยตั้งขายไประหว่างที่เขาทำทีซื้อ และผู้เคราะห์ร้าย คือ นักลงทุนรายย่อยที่เข้าไปซื้อหุ้นตามแต่ยังไม่ได้ขายเพราะเห็นว่ายังมีแรงซื้อหนาแน่นอยู่ สุดท้ายต้องติดดอย
.
โดยพฤติกรรมของพวกปั่นหุ้นมักทำเป็นขบวนการ มีการกระจายเปิดพอร์ตการลงทนุไว้กับหลาย โบรกเกอร์ในชื่อที่แตกต่างกันเพื่อโยนหุ้นไปมาสร้างอุปสงค์และอุปทานเทียม จนทำให้นักลงทุนรายอื่นเข้าใจผิดและซื้อขายตาม รวมถึงอาจมีการปล่อยข่าวเท็จ เช่น สร้างข่าวว่าหุ้นกำลังมีข่าวดี ซึ่งยุคโซเชียลมีเดีย ทำให้การกระจายข่าวทำได้ง่ายมาก
.
เมื่อเข้าใจเหตุผลที่ทำให้ราคาหุ้นขนาดเล็กมาไวไปไว หวังว่าจะช่วยให้ปิดจุดด้อยเพื่อนำมาเสริมจุดแข็งในการลงทุนหุ้นขนาดเล็กได้ดียิ่งขึ้น ลองฝึกวิเคราะห์จุดอ่อนของหุ้นที่สนใจ รวมถึงจุดอ่อนของตัวเอง เพื่อสร้างความทนทานให้กับสภาพจิตใจก่อนจะเชื่ออะไรง่าย ๆ
.
เพราะหุ้นขนาดเล็กอ่อนไหวต่อข้อมูลข่าวสารมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ และสิ่งสำคัญ คือ ความผันผวนของราคาหุ้นรายวันถูกผลักดันด้วยอารมณ์มากกว่าปัจจัยพื้นฐานนะครับ