ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดพุ่ง ลุ้นเฟดลดดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด Alphabet งบแกร่งเกิน
ช่วงนี้ตลาดหุ้นอเมริกา หรือ Wall Street เนี่ย เขียวชอุ่มสดใสกันเลยทีเดียวค่ะ ดัชนี S&P500 พุ่งขึ้นถึง 2% ทำจุดสูงสุดใหม่นับตั้งแต่วันที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศเรื่องกำแพงภาษีเลยนะคะ
สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้หุ้นขึ้นรอบนี้ ก็เพราะนักลงทุนเขาเริ่ม "เดิมพัน" หรือคาดการณ์กันว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจจะต้องรีบ ลดอัตราดอกเบี้ย เร็วกว่าที่คิด เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจเข้าสู่ ภาวะถดถอย ค่ะ ซึ่งความกังวลเรื่องเศรษฐกิจเนี่ย ส่วนหนึ่งก็มาจากผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่ทรัมป์เขาก่อไว้นั่นเอง
มีสัญญาณสนับสนุนความคิดนี้ด้วยนะคะ อย่าง คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ หนึ่งในผู้ว่าการเฟด ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg Television ว่า เขาพร้อมจะสนับสนุนการลดดอกเบี้ยนะ ถ้าเกิดว่ากำแพงภาษีที่ตั้งไว้สูงๆ มันกระทบกับตลาดแรงงาน ทำให้คนตกงานเยอะขึ้น ส่วน เบธ แฮมแม็ค (Beth Hammack) ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ ก็บอกกับ CNBC ว่า เฟดอาจจะเริ่มลดดอกเบี้ยได้เร็วสุดคือเดือนมิถุนายนนี้เลย ถ้ามีสัญญาณชัดเจนว่าเศรษฐกิจกำลังไปในทิศทางไหน
มุมมองจากฝั่งนักวิเคราะห์ก็มีนะคะ Ulrike Hoffmann-Burchardi จาก UBS Global Wealth Management เชื่อว่าเฟดพร้อมจะรับมือกับสัญญาณเศรษฐกิจอ่อนแอ โดยเฉพาะเรื่องการเลิกจ้างที่เพิ่มขึ้น ส่วน Myles Bradshaw จาก JPMorgan Asset Management ก็มองว่า กำแพงภาษีของทรัมป์ น่าจะกระทบการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่าจะไปกระตุ้นเงินเฟ้อ และคาดว่าสุดท้ายเฟดอาจจะต้องลดดอกเบี้ยแรงกว่าเดิมด้วยซ้ำ

แต่เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งวางใจ... สัญญาณเตือนจากภาคธุรกิจก็มีนะ
ถึงแม้ตลาดหุ้นจะดูดี๊ด๊า แต่ในอีกมุมหนึ่ง บริษัทใหญ่ๆ หลายแห่งกลับเริ่มส่งสัญญาณ "ระมัดระวังตัว" มากขึ้นค่ะ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเรื่องกำแพงภาษีและนโยบายภาษีต่างๆ ทำให้หลายบริษัทต้องถอนหรือปรับลด คาดการณ์ผลประกอบการ (Earnings Forecast) ของตัวเองลง
American Airlines ถอนตัวเลขคาดการณ์กำไรทั้งปีไปเลย
CEO ของ Southwest Airlines บอกว่า อุตสาหกรรมการบินของเขาเข้าสู่ภาวะถดถอยไปแล้วด้วยซ้ำ
PepsiCo และ Procter & Gamble (P&G) ก็ปรับลดคาดการณ์กำไรลง
สถานการณ์นี้สะท้อนว่า บรรดาบริษัทต่างๆ กำลังเจอกับความยากลำบากในการวางแผนธุรกิจ เพราะผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้นจากนโยบายการค้ามันคาดเดาได้ยากจริงๆ แถมข้อมูลจากโรงงานในสหรัฐฯ ก็แสดงให้เห็นว่า ยอดสั่งซื้อพวกเครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆ ในเดือนมีนาคมก็เพิ่มขึ้นน้อยมาก เป็นอีกสัญญาณว่าบริษัทต่างๆ เริ่มระวังตัว แต่ในแง่ดีคือ พวกเขากำลังพยายามปกป้องกำไรและอัตรากำไร (Margins) ของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนน่าจะพอใจค่ะ
มุมมองนักวิเคราะห์: กำไรอาจไม่สวยหรู - จับตาแนวต้านสำคัญ
แม้ตลาดจะดีดตัวขึ้นมา แต่ก็มีนักวิเคราะห์หลายคนเริ่มมองแนวโน้มกำไรของบริษัทต่างๆ ในแง่ลบมากขึ้นนะคะ เพราะกังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัว
Bankim Chadha จาก Deutsche Bank ซึ่งปกติเป็นสายเชียร์หุ้นตัวยง (Bull) ตอนนี้มองว่ากำแพงภาษีกระทบภาคธุรกิจหนักสุด เขาปรับลดเป้าหมายดัชนี S&P500 สิ้นปีลงเหลือ 6,150 จุด และคาดว่ากำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 ปีนี้อาจจะลดลง 5% เลยทีเดียว (สวนทางกับที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะโต 8%)
Daniel Skelly จาก Morgan Stanley Wealth Management แนะนำว่า นักลงทุนควรโฟกัสที่การลงทุนระยะยาว มองหาบริษัทที่มีโอกาสทำกำไรได้จริง ได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีจำกัด และมีงบดุลที่แข็งแกร่ง (Quality Balance Sheets)
ฝั่ง Goldman Sachs เตือนว่า แม้ตลาดจะดูเหมือนหายใจหายคอได้ แต่ปัจจัยกดดันที่เคยทำให้ตลาดปั่นป่วนมันยังไม่ได้หายไปไหน เปรียบเปรยว่า "เหมือนเจอวันที่อากาศดี 80 องศาฟาเรนไฮต์ในนิวยอร์กช่วงเดือนเมษาฯ แต่อย่าเพิ่งรีบกระโดดลงสระ" (ประมาณว่า อย่าเพิ่งดีใจรีบร้อนเข้าไปลงทุนเต็มตัว)
Dan Wantrobski จาก Janney Montgomery Scott คาดว่าตลาดจะยังคงผันผวนหนัก และให้จับตาดูระดับ 5,500 จุด ของดัชนี S&P500 ให้ดี เพราะเป็น แนวต้านสำคัญ ถ้าดัชนีสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้ จะเป็นสัญญาณบวกทางเทคนิค และอาจจะวิ่งต่อไปถึง 5,800 จุดได้
Craig Johnson จาก Piper Sandler ก็เห็นด้วยว่า 5,500 จุด คือแนวต้านสำคัญที่ต้องผ่านไปให้ได้ก่อน ตลาดถึงจะมีแรงขึ้นต่อ
ไฮไลท์หุ้นเทคฯ: Alphabet เด่น - Intel น่าห่วง
มาดูหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีกันบ้างค่ะ มีทั้งข่าวดีข่าวร้ายเลย
Alphabet (บริษัทแม่ Google): หุ้นพุ่งขึ้นกว่า 3.5% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ หลังจากรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกดีเกินคาด ทั้งรายได้ ($76.5 พันล้าน เทียบกับคาดการณ์ $75.4 พันล้าน) และกำไร ($2.81 ต่อหุ้น เทียบกับคาดการณ์ $2.01) แรงหนุนหลักมาจากธุรกิจโฆษณาบน Google Search ที่ยังแข็งแกร่ง
นอกจากนี้ ธุรกิจคลาวด์ (Google Cloud) ก็ทำกำไรได้ดีกว่าคาด ($2.18 พันล้าน เทียบกับคาดการณ์ $1.94 พันล้าน) แม้ยอดขายจะต่ำกว่าคาดเล็กน้อย แสดงว่า Google อาจจะทำกำไรจาก Cloud ได้ดีขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายลงทุน (Capital Expenditures) อยู่ที่ $17.2 พันล้าน สูงกว่าคาดเล็กน้อย สะท้อนการลงทุนต่อเนื่องในด้าน AI
Intel: สวนทางกับ Alphabet เลยค่ะ หุ้น Intel ร่วงไปกว่า 6% นอกเวลาทำการ หลังประกาศคาดการณ์รายได้ไตรมาส 2 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ (คาดการณ์ $11.2 - $12.4 พันล้าน ต่ำกว่าคาดการณ์ $12.9 พันล้าน) แถมยังประกาศแผนลดพนักงานและ "ลดชั้นการบริหารจัดการ" (Eliminating management layers) เพื่อลดต้นทุน ($17 พันล้านในปีนี้ และ $16 พันล้านในปี 2026) และทำให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้นภายใต้ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง และต้องการปรับปรุงวัฒนธรรมองค์กร รวมถึงกำหนดให้พนักงานเข้าออฟฟิศ 4 วันต่อสัปดาห์ เริ่ม 1 กันยายนนี้ด้วย
แม้ว่ายอดขายไตรมาส 1 จะดีกว่าคาด ($12.7 พันล้าน) แต่การคาดการณ์ที่อ่อนแอสำหรับไตรมาส 2 ก็ทำให้นักลงทุนกังวลว่าอาจเป็นแค่เรื่องชั่วคราว นอกจากนี้ อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ก็ยังต่ำกว่าคู่แข่งอย่าง Nvidia มาก (Intel คาด Q2 ที่ 36.5% เทียบกับ Nvidia ที่สูงกว่า 70%)
เรื่องการค้าสหรัฐฯ-จีน: ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง?
ประเด็นร้อนเรื่องการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนก็ยังคงมีความสับสนค่ะ
ทรัมป์: ยืนยันว่ารัฐบาลของเขากำลังเจรจากับจีนอยู่ มีการประชุมกันเมื่อเช้านี้ (วันพฤหัสฯ) แต่ไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนคุย
จีน: ออกมาปฏิเสธข่าวลือเรื่องการเจรจา บอกว่าไม่มีมูลเลย และเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกกำแพงภาษีทั้งหมดที่ตั้งขึ้นฝ่ายเดียว พร้อมทั้ง "แสดงความจริงใจ" หากต้องการจะเจรจาจริงๆ
ความเห็นที่ไม่ตรงกันนี้ ชี้ให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายยังหาจุดร่วมกันไม่ได้ จีนเองก็มีเงื่อนไขก่อนจะยอมเจรจา เช่น สหรัฐฯ ต้องแสดงความเคารพมากกว่านี้ แต่งตั้งผู้รับผิดชอบการเจรจาให้ชัดเจน มีจุดยืนที่แน่นอน และต้องแก้ปัญหาที่จีนกังวลด้วย (เช่น การคว่ำบาตร และประเด็นไต้หวัน)
นอกจากนี้ ยังมีข่าวว่าจีนยกเลิกคำสั่งซื้อเนื้อหมูจากสหรัฐฯ มากถึง 12,000 เมตริกตัน ซึ่งเป็นการยกเลิกครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2020 ผลพวงจากกำแพงภาษีตอบโต้ที่ทำให้เนื้อหมูสหรัฐฯ ต้องเจอด่านภาษีสูงถึง 172% เลยทีเดียว
สรุปภาพรวมตลาด:
* หุ้น: ดัชนีหลักๆ ของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น (S&P500 +2%, Nasdaq100 +2.8%, Dow Jones +1.2%) ตลาดหุ้นทั่วโลก (MSCI World) +1.6% หุ้นกลุ่มเทคฯ ยักษ์ใหญ่ (Bloomberg Magnificent 7) +2.9%
* ค่าเงิน: ดอลลาร์อ่อนค่า (-0.4% ตาม Bloomberg Dollar Spot Index) ยูโรแข็งค่า (+0.6% แตะ $1.1384) ปอนด์แข็งค่า (+0.6% แตะ $1.3338) เยนแข็งค่า (+0.5% อยู่ที่ 142.72 เยนต่อดอลลาร์)
* คริปโต: Bitcoin ทรงตัว ($93,594.76) Ether ปรับลง (-1.8% แตะ $1,763.7)
* พันธบัตร: อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ลดลง 7 basis points เหลือ 4.31% (สะท้อนการคาดการณ์ลดดอกเบี้ย) ของเยอรมนีลดลง 5 bps (2.45%) ของอังกฤษลดลง 5 bps (4.50%)
* สินค้าโภคภัณฑ์: น้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 0.7% ($62.71 ต่อบาร์เรล) ทองคำพุ่งขึ้น 1.6% ($3,340.33 ต่อออนซ์)
โดยสรุป ตลาดหุ้น Wall Street ปรับตัวขึ้นแรงจากความหวังว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยเร็วขึ้นเพื่อพยุงเศรษฐกิจ บวกกับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของ Alphabet แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีความกังวลซ่อนอยู่ ทั้งจากท่าทีระมัดระวังของบริษัทต่างๆ คาดการณ์กำไรที่ไม่สดใส และความไม่แน่นอนของสงครามการค้าที่ยังคงอยู่ ดังนั้น แม้ตลาดจะดูดี แต่ก็อย่าลืมบริหารความเสี่ยงและติดตามสถานการณ์กันอย่างใกล้ชิดนะคะ
ขอบคุณเนื้อหาข้อมูลจาก Facebook Beauty Investor