PTT จะสู้หุ้นยักษ์พลังงานได้ไหม? เมื่อ Saudi Aramco กำลังสนใจลงทุนปิโตรเคมีในตลาดเกิดใหม่เอเชีย
องค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ประเมินว่าผลกระทบจาก Covid-19 ส่งผลให้ “ความต้องการใช้น้ำมันของโลก” ลดลงต่ำสุดตั้งแต่ปี 2553 หรือในรอบเกือบ 10 ปี!!!!! แม้ว่ากำลังการผลิตน้ำมันจะได้เพิ่มขึ้นจาก OPEC+ แต่ยังฝ่าวิกฤติ Covid-19 ไปอย่างยากลำบาก ช่วงที่ผ่านมา เราจึงเห็นหุ้นกลุ่มพลังงาน ทั้งน้ำมันและปิโตรเคมีปรับลดลงอย่างน่าตกใจ แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง นักวิเคราะห์หลักทรัพย์หลายแห่งมองตรงกันว่า หุ้นกลุ่มพลังงานกำลังกลับมา หลังได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
ตามที่นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลภาวะหุ้นครึ่งปีหลังกับ Wealthy Thai ว่าหุ้น Global Play ค่อนข้างน่าสนใจ โดยเฉพาะหุ้นน้ำมันที่เป็นต้นน้ำ อย่าง PTT,PTTGC พอที่จะเก็งกำไรได้ สอดคล้องกับเทรนด์น้ำมันดิบที่แกว่งตัวขึ้น
Wealthy Thai เลยรวบรวมข้อมูลจาก Share investor โดยเปรียบเทียบกับหุ้นน้ำมันแห่งชาติ “PTT” กับบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง SAUDI ARAMCO และบริษัทน้ำมันสหรัฐอย่าง Exxon Mobil Corp และ Chevron Corp ว่าทั้ง 4 บริษัท แตกต่างกันขนาดไหน มาดูเลยกัน!
เริ่มจากหุ้นบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ซึ่งเป็นหุ้นใหญ่ที่สุดใน SET และเป็นบริษัทเดียวที่มีมาร์เก็ตแค็ปเกินล้านล้านบาท โดยปัจจุบัน PTT มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแค็ป) 1,099,675.500 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 2 ก.ค.63 PTT) ลูกๆ ของ PTT นั้น แต่ละตัวก็มีความโดดเด่นเฉพาะตัว เริ่มจาก PTTEP ทำธุรกิจสำรวจและผลิต PTTGC,TOP และ PTTOR ที่เตรียมเข้าตลาดหุ้น ทำธุรกิจปิโตรเคมี น้ำมัน การกลั่นและค้าปลีกตามลำดับ
SAUDI ARAMCO เพิ่งจะจบดีลใหญ่ไปหมาดๆ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยการเข้าซื้อหุ้น SABIC บริษัทปิโตรเลียมขนาดใหญ่ของซาอุดิอาระเบีย จากกองทุนความมั่งคั่งของประเทศซาอุดิอาระเบีย (Saudi Public Investment Fund) โดยทาง CNBC รายงานว่าดีลดังกล่าวเป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดอีกดีลหนึ่งในอุตสาหกรรมพลังงาน นอกจากนี้มีรายงานจาก Independent Commodity Intelligence Services รายงานว่า ขณะนี้ SAUDI ARAMCO มีความสนใจที่เข้าลงทุนในธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ในตลาดเกิดใหม่เอเชีย จากความเชื่อมั่นว่าปิโตรเคมียังมี real demand อีกมาก ทำให้เซ็คเตอร์นี้ยังโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็สอดคล้องกับการเข้าซื้อหุ้น SABIC
EXXON MOBIL เป็นบริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ คู่กับ CHEVRON
สำหรับในประเทศไทยเอง EXXON ดำเนินการผ่านบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีกำลังการผลิต 174,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งทำการผลิตก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วเกรดต่างๆ น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล น้ำมันเตาและยางมะตอย นอกจากนี้เอสโซ่ยังจัดจำหน่ายน้ำมันหล่อลื่นผ่านแบรนด์ “โมบิล”
การสร้างงานของ Chevron คิดเป็น 2% ของจีดีพีไทย
สุดท้าย CHEVRON เป็นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่สัญชาติสหรัฐอเมริกา ใหญ่รองจาก EXXON โดยคนไทยอาจจะคุ้นชื่อกว่า เมื่อเทียบกับ EXXON ซึ่งรู้หรือไม่ว่าการประกอบกิจการของ CHEVRON มีมูลค่าประมาณ 2% ของ GDP หรือประมาณ 320,000 ล้านบาท
สุดท้ายนอกจากตลาดเกิดใหม่เอเชียแล้ว IEA คาดการณ์ว่า ในปี 2583 หรืออีก 20 ปีข้างหน้า ขนาดตลาดค้าน้ำมันอาเซียนจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ หรือประมาณ 300,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพราะฉะนั้นทิศทางหลังจากนี้ เราจะเห็นทั้ง PTT และบริษัทพลังงานข้ามชาติ จะเข้ามาลงทุนในอาเซียนมากยิ่งขึ้น “ตลาดพลังงานอาเซียน” จะเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่น่าจับตามอง
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก