สรุปงานวิจัย KKP 8 ปัญหาเศรษฐกิจไทย ที่รอรัฐบาลชุดใหม่ เข้ามาแก้ - BillionMoney

อีกไม่กี่วัน ประเทศไทยก็จะมีการเลือกตั้ง เพื่อหารัฐบาลชุดใหม่ มาบริหารประเทศกันแล้ว
โดยล่าสุด ทางศูนย์วิจัยธนาคารเกียรตินาคินภัทร หรือ KKP Research ได้ออกบทวิเคราะห์ถึงปัญหาเศรษฐกิจ ที่ประเทศไทยจะต้องเจอ ซึ่งรอรัฐบาลชุดใหม่มาแก้ปัญหาอยู่ สรุปได้เป็น 8 ข้อ
BillionMoney จะมาสรุปปัญหาทางเศรษฐกิจของไทย ที่ทาง KKP Research วิเคราะห์ออกมา ฉบับง่าย ๆ 8 ข้อ
ด้วยกัน เริ่มกันที่
1. ประเทศไทย กำลังสูญเสียประชากรวัยทำงานไปอีกหลายล้านตำแหน่ง
การที่ประเทศไทยมีประชากรเกิดใหม่น้อยลง จะทำให้ ภายในปี 2030
จำนวนประชากรวัยทำงาน จะหายไป 3 ล้านคน และภายในปี 2050 จะหายไปถึง 11 ล้านคน
เรื่องนี้จะทำให้เราขาดแคลนแรงงาน ผลที่ตามมาก็คือ ต้นทุนค่าแรง จะปรับตัวสูงขึ้น
2. เศรษฐกิจไทยจะแย่ลง เมื่อหลายประเทศ ย้ายฐานการผลิตกลับประเทศตัวเอง
ปัจจุบันเศรษฐกิจประเทศไทย พึ่งพาการส่งออกสินค้า มากถึง 60% ของ GDP
แต่ความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจตะวันตก และจีน ทำให้เกิดนโยบายกีดกันทางการค้า และสงครามเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น
บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่หลายแห่ง จึงอาจตัดสินใจย้ายฐานการผลิตกลับเข้าไปสู่ประเทศของตัวเองมากขึ้น
เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างประเทศ หรือพึ่งพาสินค้าจากต่างประเทศน้อยลง
ไทยซึ่งมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก จึงมีความเสี่ยงอย่างยิ่ง ที่จะสูญเสียความสามารถในการส่งออก
ทั้งนี้ เมื่อปริมาณการส่งออกสินค้าลดลง และประเทศไทยไม่สามารถหาเครื่องยนต์เศรษฐกิจส่วนอื่นมาชดเชยส่วนที่หายไปได้ เศรษฐกิจของประเทศไทย ก็อาจจะเข้าสู่ช่วงที่เศรษฐกิจหยุดการเจริญเติบโตไปเลย ก็เป็นได้
3. การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี กำลังเป็นความเสี่ยงต่อความสามารถในการแข่งขันของไทย
ปัจจุบัน เศรษฐกิจประเทศไทย ยังคงพึ่งพิงกับอุตสาหกรรมเก่าอยู่มาก
ในขณะที่ ทั่วโลกกำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่จะมาทดแทนอุตสาหกรรมแบบเก่าบางอย่างอยู่ตลอด
ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงกำลังเจอกับความเสี่ยงที่จะปรับตัวกับเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ไม่ทัน ทำให้เสี่ยงต้องสูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศอื่น ที่มีความพร้อมมากกว่า
ซึ่งถ้าเราดูข้อมูลสถิติย้อนหลัง เราจะพบว่า ในระหว่างปี 2001 จนถึง 2005 ประเทศไทยเคยมีส่วนแบ่งเงินลงทุนจากต่างชาติ หรือ FDI ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สูงถึง 40.6% ซึ่งสูงที่สุดในภูมิภาค
แต่ล่าสุด ในระหว่างปี 2016 จนถึง 2021 ส่วนแบ่งดังกล่าวลดลงเหลือแค่ 8.9% เท่านั้น น้อยกว่าประเทศอย่างเวียดนาม, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, และมาเลเซีย
สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยกำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศอื่น ๆ
4. ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ส่งผลต่อการกระจายความเจริญของไทย
ประเทศไทย มีปัญหาด้านการผูกขาดทางธุรกิจ ทำให้มีบริษัทเกิดใหม่น้อยลง เพราะไม่สามารถเข้ามาแข่งขันกับนายทุนใหญ่ ที่ผูกขาดอยู่ในตลาดได้ ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดอยู่ในระดับที่ต่ำ
ในสถานการณ์ที่ระดับการแข่งขันทางธุรกิจต่ำ บริษัทใหญ่เหล่านี้ก็จะมีแรงจูงใจในการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าและบริการ น้อยลง
นอกจากนี้ เมื่อมีธุรกิจเกิดใหม่น้อยลง ก็จะส่งผลต่อการกระจายความเจริญไปยังพื้นที่ต่าง ๆ เกิดเป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำในเชิงพื้นที่ต่อไป เพราะความเจริญก็จะยังกระจุกตัวอยู่แค่เมืองใหญ่ ๆ เท่านั้น
5. คุณภาพการศึกษาที่ไม่เท่าเทียม ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพประชากร
ที่ผ่านมา เด็กนักเรียนไทยมีคะแนนเฉลี่ยจากการสอบโปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล หรือ PISA ลดลงต่อเนื่อง
เรื่องนี้จะส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในระยะยาว เพราะการที่จะพัฒนาเศรษฐกิจให้ก้าวหน้าได้ ประเทศไทยก็จะต้องมีทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพสูงเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วย
6. ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบสมบูรณ์
ในอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีสัดส่วนคนที่อายุเกิน 65 ปี มากกว่า 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมด
นอกจากที่ประเทศไทยจะเจอปัญหาขาดแคลนประชากรวัยทำงานแล้ว ประเทศไทยยังต้องเจอกับปัญหาเรื่องสาธารณสุข เพิ่มเข้ามาอีกด้วย
เพราะเมื่อมีประชากรสูงอายุมากขึ้น โอกาสในการเจ็บป่วย ในกลุ่มประชากร ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ทำให้ระบบสาธารณสุขของไทยต้องมีการเปลี่ยนแปลง เช่น การจัดหาเตียงผู้ป่วยให้มากขึ้น และ ต่อเติมพื้นที่ใช้สอยของโรงพยาบาลให้มากขึ้น เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ ปัญหานี้ยังส่งผลต่อนโยบายทางการคลังของภาครัฐ ที่อาจจะต้องมีการจัดเก็บภาษีเพิ่ม จากกลุ่มคนวัยทำงาน เพื่อหาเงินมาช่วยกลุ่มคนสูงอายุ ที่ขาดความพร้อมทางการเงิน ในวัยหลังเกษียณด้วย
7. ประเทศไทยกำลังเจอปัญหาเรื่องความมั่นคงทางพลังงาน
ล่าสุด ปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยลดลงและมีโอกาสที่จะหมดลงในที่สุด
ต่อไป ประเทศไทยจะพึ่งพาการผลิตก๊าซธรรมชาติภายในประเทศได้น้อยลง และต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศมากขึ้น
ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าและการผลิตพลังงานเพิ่มสูงขึ้น และต่อไปอาจทำให้ประเทศไทย ขาดดุลการค้ามากขึ้นด้วย
8. ประเทศไทยขาดความสามารถ ในการรับมือกับปัญหาสิ่งแวดล้อม
ประเทศไทยเอง เป็นหนึ่งในประเทศ ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศมากที่สุด
โดยได้รับผลกระทบมากเป็นอันดับที่ 3 จากทั้งหมด 48 ประเทศ
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภัยแล้งสูงมาก และยังมีความสามารถในการรับมือได้ต่ำ
นโยบายที่ผ่านมาของประเทศไทย มุ่งเน้นไปแค่การกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโตระยะสั้น แต่ไม่ได้ครอบคลุมการแก้ปัญหาในระยะยาวเท่าไร
ส่วนนโยบายที่เน้นแก้ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง นั้นก็แทบไม่มีเลย
ในขณะที่ ปัจจุบัน กลุ่มประเทศมหาอำนาจ เริ่มมีมาตรการสำคัญ ๆ หลายอย่างออกมากดดัน ให้แต่ละประเทศ เริ่มลดการปล่อยมลพิษกันอย่างจริงจัง
ซึ่งหากประเทศไทยไม่ผลักดันนโยบายเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ก็จะส่งผลเสียต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว
และอาจถูกกีดกันทางการค้าจากประเทศต่าง ๆ ในโลก ที่ให้ความสำคัญกับประเด็นสิ่งแวดล้อมได้
อ่านมาถึงตรงนี้ เราก็คงได้เห็นปัญหาต่าง ๆ ที่ทาง KKP Research ได้วิเคราะห์ออกมากันบ้างแล้ว
ก็จะเห็นได้ว่าไทย กำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจมากมายที่รอการแก้ไขจากรัฐบาลชุดใหม่
แม้ปัญหาเศรษฐกิจเหล่านี้จะเป็นปัญหาใหญ่ และเรื้อรังมานาน แต่ก็เป็นปัญหาที่หลาย ๆ ประเทศพัฒนาแล้วเคยประสบ หรือกำลังประสบอยู่ และได้มีการวางนโยบายเพื่อบรรเทาปัญหากันมาบ้างแล้ว
ทำให้เรายังมีโอกาสที่จะศึกษาวิธีการแก้ปัญหาของประเทศเหล่านั้น และนำมาปรับใช้ให้เข้ากับประเทศไทย
การเลือกตั้งในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสในรอบ 4 ปีของคนไทยทุกคนที่จะพิจารณานโยบายของแต่ละพรรคการเมือง
ว่านโยบายของพรรคการเมืองไหนจะสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้มากที่สุด
เพราะหากเราปล่อยให้ปัญหาพวกนี้ไม่ได้รับการแก้ไขในรุ่นของพวกเรา ก็เหมือนกับว่าเรากำลังผลักปัญหาเหล่านี้ออกไปให้รุ่นลูกรุ่นหลานของเราทุกคน..
Reference