ถูกแทนที่หรือเอาชนะ? 4 วิธีอยู่รอดในยุคที่ AI จ้องจะแย่งงานคุณ
By วรุณรัตน์ คัทมาตย์
- อย่าต่อต้าน AI แต่ต้องรู้จักใช้มันให้เป็น ผู้ที่อยู่รอดไม่ใช่คนที่เก่งกว่า AI แต่คือคนที่รู้จักใช้ AI มาเสริมจุดแข็งของตัวเองให้ไปได้ไกลกว่าเดิม
- โฟกัสที่ทักษะที่ AI ยังเลียนแบบไม่ได้ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ ความฉลาดทางอารมณ์ และการตัดสินใจเชิงจริยธรรม คือจุดแข็งที่ยังไม่มีระบบไหนลอกเลียนได้
- อย่ารอให้โดนแทนที่ วัยทำงานต้องคิดเผื่ออนาคตไว้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการ ReSkills ย้ายสายงาน หรือหาทำงานเสริมไว้เป็นแผนสำรอง ล้วนเป็นเกราะป้องกันจากความเสี่ยงในโลกการทำงานที่เปลี่ยนเร็ว

ปีนี้คงเป็นอีกปีที่วัยทำงานได้รับผลกระทบจาก AI มากขึ้นกว่าทุกปีที่ผ่านมา พนักงานออฟฟิศทั่วโลก เริ่มกังวลสูงและกลัวว่า AI จะมาแย่งงาน ยืนยันจากรายงานผลสำรวจของ Gallup ก่อนหน้านี้ในปี 2024 ที่เปิดเผยว่า พนักงานชาวอเมริกันกว่า 22% กังวลว่างานของตัวเองอาจถูกแทนที่ด้วย Generative AI ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2021 ถึง 7%
ขณะที่บริษัทต่างๆ เริ่มเดินหน้าปรับโครงสร้างอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น Microsoft ที่เพิ่งปลดพนักงาน 3% และ Duolingo ก็ออกมาประกาศว่าจะลดจำนวนฟรีแลนซ์ เนื่องจาก AI เข้ามาทำหน้าที่แทน
ในขณะเดียวกัน คำค้นหาอย่าง “AI จะมาแย่งงานฉันไหม” (Will AI take my job?) พุ่งขึ้นกว่า 108% บน Google และมีวิดีโอบน TikTok มากถึง 18.4 ล้านคลิปที่วิพากษ์วิจารณ์กลยุทธ์ "AI-first" ของ Duolingo ถึงขั้นเรียกร้องให้หยุดงานประท้วง
หากคุณเองก็เริ่มตั้งคำถามกับอนาคตของตัวเองในยุค AI ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคฯ เอไอโดยตรง มีคำแนะนำที่จะช่วยให้คุณ "เอาชนะ AI" ได้อย่างมีชั้นเชิงผ่านกลยุทธ์ 4 ข้อ ดังนี้
เปิด 4 กลยุทธ์เอาชนะ AI ด้วยไหวพริบมนุษย์
1. ใช้ AI เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่คู่แข่ง
อาทาเลีย โฮเรนเชียน (Atalia Horenshtien) หัวหน้าสายงาน AI จากบริษัทที่ปรึกษาด้านดิจิทัล Customertimes อธิบายว่า AI ไม่ได้มาแข่งกับมนุษย์ แต่มาเสริมสิ่งที่เราทำได้ดีอยู่แล้ว เครื่องมืออย่าง Generative AI ไม่ได้แค่ช่วยประหยัดเวลา แต่ยังปลดล็อกทักษะใหม่ๆ เช่น ทำให้คนเขียนไวขึ้น คนที่ไม่เคยเขียนก็สร้างคอนเทนต์ได้ หรือคนทั่วไปก็ทำงานออกแบบ วิจัย หรือวางกลยุทธ์ได้แบบมืออาชีพ
"คนที่มีคุณค่าที่สุดในยุคนี้ ไม่ใช่คนที่ต่อต้าน AI แต่เป็นคนที่รู้จักใช้มันให้พัฒนาไปอีกขั้น"
2. โฟกัสที่สิ่งที่ AI ยังทำไม่ได้ (อย่างน้อยก็ตอนนี้)
AI อาจเข้ามาแทนที่ “งาน” บางประเภท แต่ยังไม่สามารถแทนที่ “ทักษะ” ของมนุษย์ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์, การตัดสินใจที่มีจริยธรรม, ความฉลาดทางอารมณ์, และ การตัดสินใจซับซ้อน ถ้างานของคุณเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ นี่คือจุดแข็งที่ควรยิ่งขัดเกลา
3. เรียนรู้ภาษาของ AI และสั่งงานมันให้เป็น
ทักษะอย่าง prompt engineering (การสั่งงาน AI), การเลือกโมเดล และการออกแบบเวิร์กโฟลว์ กำลังกลายเป็นทักษะสำคัญของคนทำงานยุคนี้ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลหรือ Data Scientist แต่ควรรู้วิธีใช้เครื่องมือ AI ให้เกิดประโยชน์ และเข้าใจว่าจะนำมาเชื่อมโยงกับผลลัพธ์ของธุรกิจได้อย่างไร
4. อย่ารอให้มันเกิด แล้วค่อยขยับ
ถ้างานของคุณมีลักษณะเป็นงานซ้ำๆ ก็มีโอกาสสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ การพัฒนาทักษะเพิ่มเติมตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือ AI กลยุทธ์ธุรกิจ หรือสายงานที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้คุณหลุดจากวงจรเสี่ยง และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจมาถึงโดยไม่เตือนล่วงหน้า
ผู้นำองค์กรควรทำอย่างไร เพื่อช่วยพนักงานใช้ AI ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ก่อนที่ผู้นำองค์กรจะช่วยให้พนักงานไม่รู้สึกหวั่นไหวจาก AI พวกเขาต้องเข้าใจให้ชัดเจนก่อนว่า AI เป็น “เครื่องมือ” หรือ “ภัยคุกคาม” กันแน่ ซึ่ง อาทาเลีย โฮเรนเชียน เชื่อว่าผู้นำมีหน้าที่ต้องวางแผนอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะ 5 แนวทางต่อไปนี้
1. สื่อสารอย่างโปร่งใสตั้งแต่แรก: "ความไม่แน่นอน คือเชื้อเพลิงของความกลัว และความกลัวทำให้คนเก่งลาออก" ผู้นำควรชี้แจงให้ชัดเจนว่าองค์กรจะใช้ AI อย่างไร ส่งผลกับตำแหน่งงานแบบไหน และจะสนับสนุนพนักงานอย่างไรบ้าง ความเข้าใจจะทำให้คนปรับตัวได้ดีขึ้น
2. รีสกิลแทนที่จะปลดคน: การปลดพนักงานอาจดูประหยัดในระยะสั้น แต่ไม่ยั่งยืนในระยะยาว ผู้เชี่ยวชาญด้านเอไอแนะนำให้ลงทุนกับการเคลื่อนย้ายตำแหน่งภายใน พร้อมวิเคราะห์ว่าตำแหน่งใดเสี่ยง และควรสร้างเส้นทางอาชีพใหม่ๆ ที่ให้พนักงานมีการใช้งาน AI อย่างชาญฉลาด
3. สร้างความพร้อมด้าน AI ตั้งแต่วันแรก: AI ควรเป็นส่วนหนึ่งของการปฐมนิเทศ ไม่ใช่แค่แจกเครื่องมือ แต่ต้องสอนให้ใช้งานได้จริง แนะนำพื้นฐานของ AI และแสดงตัวอย่างจากงานจริง เพื่อให้ทีมมั่นใจและมองว่า AI คือเครื่องมือประจำวัน ไม่ใช่สิ่งที่ถูกยัดเยียด
4. ปลุกวัฒนธรรมการทดลอง: AI ช่วยให้มีเวลาว่างมากขึ้น ใช้ช่วงเวลานี้ให้เป็นประโยชน์ เปิดโอกาสให้พนักงานได้ทดลองเครื่องมือใหม่ๆ ปรับกระบวนการทำงาน และคิดนอกกรอบ องค์กรอาจได้แนวทางใหม่ๆ ที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน
5. เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่ผู้จัดการ: การนำ AI เข้ามาในองค์กรไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องการจัดการความเปลี่ยนแปลงด้วย ผู้นำต้องเตรียมทีมให้พร้อมกับบทบาทใหม่ ความคาดหวังใหม่ และให้ผู้จัดการมีทักษะพอจะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่คนสั่งงาน
การถูกเลย์ออฟเป็นโอกาส ไม่ใช่จุดจบเสมอไป
อาลาริ อาโฮ (Alari Aho) ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพและซีอีโอของ Toggl Hire แพลตฟอร์มการสรรหาบุคลากรแบบครบวงจร มองว่า “การถูกเลย์ออฟอาจเป็นโอกาสในการรีแบรนด์ตัวเอง” เป็นช่วงเวลาที่คุณสามารถตั้งต้นใหม่ สร้างภาพลักษณ์มืออาชีพในแบบที่ต้องการ และแสดงให้ตลาดเห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงของคุณ
เขาแนะนำให้เริ่มจากการ “ยึดเรื่องราวไว้ในมือ” บอกให้คนอื่นรู้ว่าการถูกเลิกจ้างเป็นเรื่องของธุรกิจ ไม่ใช่ความล้มเหลวส่วนตัว จากนั้นใช้เวลาไปกับการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เชื่อมโยงเครือข่าย และพาตัวเองไปสู่เป้าหมายใหม่
ท้ายที่สุด ให้ลองเปลี่ยนงานเสริมให้เป็นหลักประกันชีวิตการทำงาน นี่คือหนึ่งในวิธีเอาชนะ AI ที่ได้ผลในปี 2025 เพราะการเริ่มต้น “งานเสริม” ตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ใช่แค่เพื่อหารายได้เพิ่ม แต่เพื่อใช้เป็นแผนสำรองในกรณีที่งานหลักหายไป ผลวิจัยพบว่าหลายคนที่ถูกเลย์ออฟแล้วหันมาทำงานเสริมแบบจริงจัง กลับมีรายได้สูงขึ้น แถมมีอิสระในการทำงานมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
อ้างอิง: Forbes, Gallup, LinkedIn, Customertimes, Toggl hire
ที่มาจาก.. https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1185123