ASPS คาดกนง.ขึ้นดบ.รอบนี้ 0.25% หนุนแบงก์รับอานิสงส์ทันที - ยก 5 หุ้นน่าสอย
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด (ASPS) เปิดเผยว่า จับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.) นัดที่ 2 ของปี ในวันพรุ่งนี้ โดยตลาดคาดการณ์ขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% มาที่ 1.75% ซึ่งประเด็นสำคัญอยู่ที่ทิศทางอัตราดอกเบี้ยช่วงที่เหลือของปี ในมุมมองฝ่ายวิจัยอัตราดอกเบี้ยที่ 1.75% ถือเป็นระดับเท่ากับต้นปี 2562 สอดรับกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่กำลังทยอยกลับสู่ฐานปี 2562

.
จึงมองว่าอัตราดังกล่าวเป็น Terminal rate ของอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยในปีนี้ เพราะหากพิจารณาการเติบโตของ GDP ไทยปี 2562 อยู่ที่ระดับ 2.2% YoY โดยช่วงดังกล่าวมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย 40 ล้านคน ทำให้ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงกว่าระดับปี 2562 อาจเปิด Downside ต่อการขยายตัวของ GDP ไทย หรือกรณีที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยขึ้นเกินระดับดังกล่าวมองว่าไม่น่ายืนได้ในระยะยาว
.
* เป็นบวกต่อหุ้นแบงก์ทันที
สำหรับผลต่อกลุ่มธนาคาร โดยการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะบวกทันทีต่อ อัตราดอกเบี้ย Interbank (สัดส่วน 4% ของรายได้ดอกเบี้ยรับปี 2565) ที่อิงกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และคาดหมายเห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกลุ่ม M-Rate (MLR, MORและ MRR) ของธนาคาร ในช่วงถัดไป รวมถึงฝั่งต้นทุนเงินฝากประจำ และอาจรวมถึงเงินฝากออมทรัพย์ของ ธ.พ. ใหญ่ ที่มีสัดส่วน CASA สูงราว 80% ของเงินฝาก อย่าง KBANK, KTB, SCB ปัจจุบันอยู่ที่ 0.25% ต่ำกว่าปี 2562 ที่ 0.50% ส่วน BBL มีการปรับเพิ่มอัตรา ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ช่วงที่ผ่านมาจนอยู่ในระดับใกล้เคียงปี 2562 ที่ 0.50%
.
ภาพรวมการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเกิดขึ้นช่วงปลาย 1Q66 ดังนั้นการรับรู้ผลบวกเต็มไตรมาสจะเกิดขึ้นช่วง Q2/66 คาดบวกต่อรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิ (NII) กลุ่มฯ ในงวด Q2/66 ขณะที่ผลต่อประมาณการกำไรสุทธิกลุ่มฯ (8 ธนาคาร) ทั้งปี 2566 ที่ 2.1 แสนล้านบาทสูงขึ้น 9% YoY อิงกับเป้าหมาย NIM ปี 2566 ของแต่ละธนาคาร ซึ่งอยู่บนสมมติฐานอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยที่ 1.75% - 2.00% ทำให้ปัจจัยด้านอัตราดอกเบี้ยสะท้อนในประมาณการของฝ่ายวิจัยและตลาดแล้ว
.
* 5 หุ้นแบงก์เด่นรับอานิสงส์
คงน้ำหนักลงทุน เท่าตลาด มองว่ากลุ่มฯ ซื้อขายบน Valuation ไม่แพงมี PBV ปี 2566 ที่ 0.66 เท่า และ PER ที่ 8 เท่า โดยการลงทุนสำหรับกลุ่มฯ ยังเน้นที่คุณภาพสินทรัพย์ ดังนี้
.
- TISCO (ราคาเป้าหมาย 108 บ.) จาก Coverage Ratio ที่ 259% (VS ค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ ที่ 177%), BIS Ratio ที่ 23% สูงสุดใน กลุ่มฯ และเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 11%
.
-BBL( ราคาเป้าหมาย 174 บ.) จากการตั้งสำรองเด่นสุดในกลุ่มฯ บน Coverage Ratio ที่ 261%
- KTB( ราคาเป้าหมาย 20.3 บ.) ROE มีพัฒนาการดีขึ้น และการขยายตัวด้าน Digital ผ่านEcosystem ของธนาคารฯ ทั้ง เป๋าตังและถุงเงิน
- SCB( ราคาเป้าหมาย 132 บ.) หลังราคาหุ้น Underperform กลุ่มฯ ช่วงที่ผ่านมาและการจ่ายเงินปันผลสูงขึ้น
- KBANK(ราคาเป้าหมาย 159 บ. ) > KKP( ราคาเป้าหมาย 77 บ.)
.
โดย KBANK และ KKP ราคาเริ่มเปิด Upsideแต่ยังอยากติดตามภาพรวมงบดุล ณ สิ้นงวด Q1/66 ก่อนประเมินคำแนะนำอีกครั้ง
.
* คาด กนง.ขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้ 0.25% กดดันเป้าหมาย SET ราว 70 จุด
Yield Curve พันธบัตรรัฐบาลของไทย ณ ปัจจุบันเมื่อเทียบกับปลายเดือน ก.พ. 66 จะเห็นได้ว่า Yield Curve Shift ลงทุกช่วงอายุ โดยช่วงอายุ 1 ปี ปรับตัวลง 1.9 bps ส่วนอายุคงเหลือยาวกว่า 1 ปี(3 ปี – 30 ปี) ปรับตัวลงมากถึง 19.5-26.0 bps โดยอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรช่วงอายุ 1-3 ปี อยู่ที่ ประมาณ 1.72-1.79% สอดรับกับนักลงทุนที่คาดว่า กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายรอบนี้ 25 bps มาอยู่ที่ 1.75%(29 มี.ค.66)เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังสูงกว่ากรอบเป้าหมายที่ กนง.ตั้งไว้ที่ 1-3% ท่ามกลางความเสี่ยงมากมายจากปัจจัยภายนอกประเทศ อาทิ Geopolitical Risk (รายละเอียดตามหัวข้อด้านบน) และความกังวลโดมิโน่ธนาคารล้มทั้งในสหรัฐฯ-ยุโรป
.
ซึ่งสาเหตุหลักคงมาจาก นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่เพิ่มการถือครองตราสารหนี้ไทย โดยก.พ.66 มียอดซื้อสุทธิกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท(ขณะที่ม.ค.66 ขายสุทธิสูงถึง 6.7 หมื่นล้านบาท) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการซื้อตราสารหนี้ระยะยาวกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วนราว 83%) ด้วยเหตุนี้จึงเห็นค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่าแรงราว 1% จากช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา อยู่ระดับ 34.3 บาท/เหรียญฯ
.
หากพิจารณาเชิง Valuation ของ SET Index ตามกลไกจะเป็นตัวกดดันตลาดหุ้นฯให้ซื้อ ขายบน P/E ที่ลดน้อยลง ซึ่งทำให้ Target SET Index ณ ปลายปีลดลงเช่นกัน หากกนง. หากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้จาก 1.50% เป็น 1.75% จะกดดันเป้าหมายดัชนีเพิ่มอีกราว 67-70 จุด
.
สรุป นักลงทุนคาดว่าการประชุม กนง. วันที่ 29 มี.ค.66 จะเห็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% สู่ระดับ 1.75% จาก Bond Yield ระยะสั้น(1 – 3 ปี) ที่อยู่ระดับใกล้เคียง 1.75% ถือเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทยในเชิง Valuation โดยจะทำให้ตลาดหุ้นถูกกดดันให้ซื้อขายบน P/E ที่ลดน้อยลง คาดกระทบ เป้าหมายดัชนีราว 67-70 จุด
***********************************