ครูโง่ นักเรียนโง่ตาม จบไปก็ได้บุคลากรโง่ๆๆๆๆ พอเป็นผู้บริหารก็โง่ๆๆๆๆๆ แล้วไปเถียงกันสารพัด ทะเลาะกันตั้งแต่ในโรงเรียน ระหว่างโรงเรียน และในระดับชาติ

ระบบ
การศึกษาไทย คือหนึ่งในระบบการศึกษาที่ล้มเหลวที่สุดในภูมิภาคเอเชี
ยตะวันออกเฉียงใต้ และตกต่ำลงทุกปี
ผู้เขียนสอนอยู่ในระบบการศึ
กษาไทยมากว่า 3 ปี และได้รับรู้ว่าแท้ที่จริงแ
ล้วระบบการศึกษาในไทยนั้นย่ำแย่แค่ไหน เงินงบประมาณที่ถมลงไปไม่เค
ยพอ, ห้องเรียนขนาดใหญ่(นักเรียน
มากกว่า 50 คนต่อห้อง) ผลิตและพัฒนาครูย่ำแย่, นักเรียนขาดแรงผลักดัน และระบบที่บังคับให้นักเรีย
นผ่านชั้นได้แม้ว่าพวกเขาจะ
สอบตก จนคล้ายว่าเราจะมองไม่เห็นค
วามหวังต่อการเปลี่ยนแปลงใน
ระยะอันใกล้นี้
ผู้เขียนสอนในโรงเรียนเอกชน
พหุภาษา ดังนั้นระดับความเข้มข้นของ
ปัญหาจะน้อยกว่าโรงเรียนรัฐ
แต่ถึงอย่างนั้น โรงเรียนของเราก็ต้องตกอยู่
ภายใต้ระบบราชการอันเทอะทะข
องกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานไร้
ประสิทธิภาพจนน่าหัวร่อแห่ง
หนึ่งของโลก กฏระเบียบเปลี่ยนแปลงทุกภาค
การศึกษา หลักสูตรการสอน, เนื้อหาแบบเรียน, ข้อสอบ ฯลฯ แนวทางปฏิบัติใหม่ๆถูกสั่งก
ารมายังครูอาจารย์ทุกๆเปิดเ
ทอมใหม่ แล้วก็เปลี่ยนใหม่อีกทีในภา
คการศึกษาหน้า
อาจารย์ได้รับคำสั่งให้ปล่อ
ยนักเรียนผ่านชั้นไปได้ แม้ว่าพวกเขาจะสอบตก และให้ปิดตาข้างหนึ่งให้กับ
ปัญหาที่เราควรจะซีเรียสอย่
างการลอกการบ้านส่ง
ทุกๆปี กระทรวงศึกษาธิการจะเกิดปิ๊
งไอเดียสุดเลิศในการพัฒนากา
รศึกษา ไอเดียสุดเลิศในปีนี้(2008-
ผู้แปล)คือการบังคับให้อาจา
รย์ชาวต่างชาติทุกคนไปอบรมค
อร์สวัฒนธรรมไทย แม้ว่าอาจารย์ชาวต่างชาติจำ
นวนมากจะอยู่ที่นี่มาหลายปี
และเข้าใจวัฒนธรรมไทยดี แต่เพื่อจะได้รับการต่ออายุ
ใบอนุญาตเป็นอาจารย์ พวกเขาก็จำเป็นต้องเข้าคอร์
สนี้ ค่าอบรมอยู่ในราคา 110$-300$ (ราวสามพันถึงเกือบหมื่น-ผู
้แปล) ต้องจ่ายโดยตัวอาจารย์ผู้เข
้าอบรมเอง อาจารย์ชาวต่างชาติหลายคนปฏ
ิเสธที่จะจ่าย ผู้เขียนรู้จักอาจารย์ที่มี
ฝีมือมาก 2 ท่านตัดสินใจเปลี่ยนไปสอนที
่ญี่ปุ่นและเกาหลีแทน ด้วยผลจากนโยบายนี้

blogspot.com
ประเทศอาเซียนอื่น อาจารย์ชาวต่างชาติได้รับเง
ินเดือนที่สูงกว่า และกระทรวงศึกษาธิการในประเ
ทศเหล่านั้นมีแนวคิดที่ก้าว
หน้ากว่า ประเทศไทยจึงประสบปัญหาในกา
รที่จะดึงดูดและรักษาอาจารย
์ชาวต่างชาติที่มีคุณภาพเอา
ไว้ การออกกฏเช่นนั้นมา จึงเป็นคล้ายดั่งใบสั่งให้พ
วกเขาจากไปสู่ประเทศอื่นๆ
เป็นที่ทราบกันดีว่าองค์กรข
องรัฐหรือระบบราชการในแทบทุ
กประเทศทั่วโลกจะขึ้นชื่อเร
ื่องความไร้ประสิทธิภาพ แต่ถึงอย่างนั้น กระทรวงศึกษาธิการของไทย ก็ยังต้องจัดว่าไร้ประสิทธิ
ภาพที่สุดที่ผู้เขียนได้เคย
ทำงานร่วมด้วยมา
โรงเรียนล่าสุดที่ผู้เขียนมีโอกาสสอน อาจารย์สอนคอมพิวเตอร์ในโรง
เรียนได้มาหาผู้เขียนเพื่อข
อให้ช่วยแก้ไขแกรมมาร์ เนื่องจากอาจารย์ท่านนั้นถู
กตำหนิอย่างรุนแรงจากเจ้าหน
้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ ตัวแทนของกระทรวงศึกษาธิการ
ได้ต่อว่าอาจารย์ท่านนั้นอย
่างหยาบคายว่า ไม่ดูแกรมมาร์ของเด็กๆบนการ
์ดวันแม่ให้ถูกต้อง คำตำหนินี้มาจากองค์กรที่ส่
งเอกสารมายังอาจารย์ต่างชาต
ิทุกวัน โดยที่เอกสารราชการเหล่านั้
นไม่มีสักประโยคที่เขียนแกร
มมาร์ถูกต้องเลย ถึงขนาดที่บางอันหัวหน้าของ
ผู้เขียนต้องโยนทิ้งถังขยะ เนื่องจากไม่สามารถอ่านได้เ
ข้าใจเลย
สังคมไทยกำลังเผชิญกับวิกฤต
ิทางศึกษา นักเรียนไทยไม่เคยต้องคิดอะ
ไรเอง ไม่ได้รับการฝึกฝนทักษะ Critical Thinking (การคิดเชิงวิพากษ์เป็นเหตุ
เป็นผล) ในโรงเรียนรัฐ การมีนักเรียน 50 คนต่อห้องเป็นเรื่องปกติ เด็กครึ่งนึงหลับในชั้นเรีย
น ในขณะที่อาจารย์ไม่เคยสนใจว
่าพวกเขาจะฟังหรือไม่ จำนวนหนังสือมีจำกัด อุปกรณ์การทดลองวิทยาศาสตร์
ไม่เคยปรากฏให้เห็นในบางโรง
เรียน อาจารย์ต่างชาติเป็นเหมือนเ
ศษเกินที่มีแค่ให้พอมี
ในขณะที่โรงเรียนไม่สามารถจ
่ายได้เกิน 750$ (ราว 23,000 บาท-ผู้แปล) จึงได้คุณภาพเท่าที่จ่าย (และคนที่เรียกว่า"อาจารย์"
จำนวนมากนี้ เป็นเพียงชายแก่ที่ไม่มีปริ
ญญาการสอนใดๆ มาที่นี่เพราะหญิงไทย และลงเอยด้วยการเป็นอาจารย์
สอนภาษา เพราะเป็นงานเพียงไม่กี่อย่
างที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติท
ำ)
สถานการณ์การศึกษาในเวียดนา
ม มาเลเซีย เกาหลีหรือจีน กำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ขณะที่ไทยถูกทิ้งไว้เบื้องห
ลัง รัฐยังเสียเวลาไปกับการออกก
ฏที่น่าขัน แทนที่จะแก้ไขสิ่งที่เป็นปั
ญหาจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงต่างๆในสังค
มไทยนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช
้า สังคมไทยนั้นคือสังคมแห่งกา
รรักษาหน้าตาในทุกๆด้าน ภาพลักษณ์คือทุกสิ่ง และตราบใดที่ภาพลักษณ์ภายนอ
กของเด็กยังสำคัญกว่าความรู
้ที่อยู่ข้างในสมองของพวกเข
า ระบบ
การศึกษาไทยก็จะยังเผชิ
ญกับปัญหาอยู่ต่อไป และร่วงหล่นอยู่ท่ามกลางการ
แข่งขันของโลก
แต่ใครสนกันล่ะ? ขอเพียงเด็กๆดูน่ารักน่าชัง
เข้าแถวตรงเดินพาเหรดในชุดเ
ครื่องแบบเรียบร้อย ถึงจะพูดประโยคภาษาอังกฤษได้ไม่เกินเกิน 20 คำและภาษาไทยเองก็ไม่ได้เก่
งไปกว่ากันก็ตาม
เรียบเรียงโดย KERO uAsean.com
เนื้อหาอ้างอิงจาก report.cnn.com, New Culture