ห้องเม่าปีกเหล็ก

การลงทุนช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้จริงเหรอ.??

โดย Edrink
เผยแพร่ :
140 views

เมื่อพูดถึงความเหลื่อมล้ำ จะต้องมีเรื่อง “โอกาส” หรือการเข้าถึงที่ไม่เท่าเทียมกัน ทั้งด้านการศึกษา การทำงาน สวัสดิการพื้นฐาน บริการทางการเงิน และการลงทุน วันนี้เลยอยากหยิบด้านหนึ่งขึ้นมาคุยกันว่า ถ้าเราเข้าถึงเรื่องการลงทุนได้ดีขึ้น สิ่งนี้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้จริงเหรอ

.

.

12 ปีที่ผ่านมา คนไทยที่รวยที่สุด 40 อันดับแรก มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นถึง 7.7 เท่า แต่ในช่วงเดียวกันค่าแรงขั้นต่ำกลับเติบโตแค่ 1.7 เท่า ทำไมถึงต่างกันได้ขนาดนี้

.

ยิ่งถ้าดูในแง่ของการครอบครองทรัพย์สินจะยิ่งเห็นความเหลื่อมล้ำทางความมั่งคั่งชัดเจนขึ้น เพราะมีคนไทยเพียง 1% เท่านั้นที่ครอบครองความมั่งคั่งราว 58% ของทั้งประเทศ (อ้างอิงข้อมูลจาก Forbes และสำนักงานรายได้)

.

เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ยังไง ? จากผลการศึกษาของ IMF ที่เก็บข้อมูลจากทุกประเทศทั่วโลก พบว่าประเทศที่ผู้คนเข้าถึงบริการทางการเงินที่ครอบคลุมและหลากหลายจะมีความเหลื่อมล้ำน้อยกว่าประเทศอื่นอย่างเห็นได้ชัด

.

แล้วคนไทยเข้าถึงบริการทางการเงินกันมากแค่ไหน ? คนไทยมากกว่า 50 ล้านคนเข้าถึงบัญชีเงินฝาก ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับ 70 ล้านคนทั่วประเทศ แต่มีแค่ 3 ล้านคนที่มีบัญชีหุ้นไทย และมีเพียง 1.5 ล้านคนเท่านั้นที่มีบัญชีกองทุนรวม

.

แตกต่างจากคนในสหรัฐฯ และสิงคโปร์ ที่มากกว่า 50% มีบัญชีลงทุนหุ้น หรือแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามที่เพิ่งเปิดตลาดหุ้นได้ไม่นาน ตอนนี้จำนวนคนเวียดนามที่มีบัญชีลงทุนหุ้นก็แซงคนไทยไปเรียบร้อยแล้ว แปลว่าคนไทยเข้าถึงบริการทางการเงินด้านอื่นน้อยมาก โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน

.

ลองนึกภาพตามว่า ถ้าเราเก็บเงินในบัญชีออมทรัพย์ที่ดอกเบี้ยแค่ 0.5% ขณะที่เพื่อนเราออมในรูปแบบของการลงทุนที่ให้ผลตอบแทน 3-5% ต่อปี เมื่อระยะเวลาผ่านไปส่วนต่างของเงินออมก็จะห่างออกมากขึ้นเรื่อย ๆ นี่เองคือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ความเหลื่อมล้ำทางความมั่งคั่งยังคงห่างออกไปเรื่อย ๆ

.

ดังนั้นการออมเงินลูกเดียวคงไม่พอที่จะสร้างความมั่งคั่งได้ การลงทุนจึงเข้ามามีบทบาทเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ หรืออย่างน้อยอาจช่วยชะลอการขยายตัวของช่องว่างระหว่างฐานะและรายได้ของคนไทยให้ช้าลงก็ยังดี

.

ขึ้นชื่อว่าการลงทุนย่อมมาคู่กับความเสี่ยงเสมอ การเลือกลงทุนในทรัพย์สินทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนสมเหตุสมผล เมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่เรารับไหว และเหมาะสมกับตัวเรามากที่สุด คือ เรื่องที่เราต้องศึกษาเพิ่มเติมครับ

.

.

เหตุผล 2 ข้อที่คนไทยไม่ค่อยนิยมออมเงินในรูปของการลงทุน

.

1. ผู้ลงทุนยังขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องการลงทุน ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ดี เพราะถ้าเราลงทุนในสิ่งที่ไม่เข้าใจ สุดท้ายเราอาจจะขาดทุนมหาศาลแทนที่จะได้รับผลตอบแทนกลับมานั่นเอง

.

2. ผู้ให้บริการด้านการลงทุนส่วนใหญ่มีต้นทุนสูง นี่เป็นปัญหาใหญ่เหมือนกัน เพราะเมื่อผู้ให้บริการมีต้นทุนสูง สุดท้ายต้นทุนส่วนใหญ่จะถูกผลักภาระไปที่ผู้บริโภค ทำให้ทุกคนต้องเจอกับค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป

.

.

Dime! เลยขอมาตอบโจทย์ทั้ง 2 ข้อนี้ ด้วยแอปพลิเคชันทางการเงินและการลงทุนใหม่แกะกล่อง พร้อมกับบริการทางการเงินสุดคูล ได้แก่ 1. บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง 3% ไม่มีขั้นต่ำ 2. บัญชีกองทุนรวม ซื้อขายกองทุนรวมได้มากกว่า 21 บลจ. และ 3. บัญชีหลักทรัพย์ต่างประเทศที่เป็นพระเอกของเรา ด้วยค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง ใช้เงินเพียง 50 บาท ก็เป็นเจ้าของหุ้นชื่อดังในสหรัฐฯ กันได้แล้ว

.

ทั้งหมดนี้เกิดจากความตั้งใจที่เราอยากเป็นส่วนหนึ่งในการลดความเหลื่อมล้ำ หวังให้คนไทยทุกคนมีโอกาสเข้าถึงบริการทางการเงินที่ครอบคลุม และไม่ถูกจำกัดด้วยความไม่เท่าเทียมกันทางด้านความรู้ ประสบการณ์ ความมั่งคั่ง หรือรายได้

.

.

แล้วสรุปว่า “การลงทุนจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้จริงเหรอ ?” คำตอบ คือ คงพูดได้ไม่เต็มปากว่าทำได้ เพราะปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำยังมีอีกหลายด้านที่ต้องแก้ไข แต่อย่างน้อยเมื่อทุกคนเข้าถึงการลงทุนได้อย่างเท่าเทียมกันและง่ายขึ้น มันก็น่าจะช่วยเพิ่มความเป็นไปได้มากขึ้นนั่นเอง

.

สุดท้ายนี้แม้ว่าสิ่งที่เราทำจะไม่สามารถแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านอื่น ๆ ได้ แต่มันก็คงเป็นเรื่องที่ดีถ้าสังคมพูดถึงเรื่องความเหลื่อมล้ำกันมากขึ้นและช่วยกันหาทางออกให้กับเรื่องนี้อย่างสร้างสรรค์ ด้วยความจริงใจครับ

.

#ไดม์

อ้างอิง

IMF

Forbes

สำนักงานรายได้

-----------

 

 


Edrink