ส่องพอร์ต สินเชื่อ-เงินฝาก 10 แบงก์ไทย BBL ครองเงินฝากมากสุด KTB เจ้าพ่อเงินกู้
ก่อนหน้านี้ Wealthy Thai ได้รายงานตัวเลขอัตรากำไรสุทธิ ไตรมาสที่ 1 ปี 2563 ของธนาคารพาณิชย์ หรือแบงก์ 10 หลักทรัพย์ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปแล้ว วันนี้จะชวนนักลงทุนมาดูตัวเลขสำคัญของแบงก์ที่มีผลต่อรายได้และรายจ่ายอ้างอิงจากดอกเบี้ย นั่นก็คือ เงินให้สินเชื่อ และเงินรับฝาก
ยิ่งเงินให้สินเชื่อเติบโตมาก แบงก์ก็จะได้มีรายได้มีมาจากดอกเบี้ยมากขึ้น ซึ่งรายได้จากดอกเบี้ยถือเป็นแหล่งรายได้หลักของทุกแบงก์ สัดส่วนเฉลี่ยราว 70% ของรายได้ทั้งหมด ส่วนหากมีเงินฝากสูง ก็จะมีรายจ่าย ที่เกิดจากดอกเบี้ยที่ให้กับผู้ฝากเงินมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ตัวกำไรสุทธิของแบงก์ ไม่ได้ เกิดจากรายได้ดอกเบี้ยที่รับมา หักลบ กับรายจ่ายดอกเบี้ยเท่านั้น เพราะแบงก์ยังมีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เช่น ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า หรือรายได้จากเงินลงทุน เป็นต้น และมีค่าใช้จากการดำเนินงาน ค่าจ้างพนักงาน และค่าจ่ายอื่นๆ อีก
สำหรับไตรมาส 1 ปี 2563 ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปี 2562 แต่ละแบงก์มีพอร์ตเงินรับฝากและเงินให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง สินเชื่อและเงินฝากของแบงก์ยังเติบโตได้หรือไม่ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 และความผันผวนของตลาดการเงิน ...มาติดตามไปพร้อมกันเลย
COVID-19 ดันยอดเงินฝากโต
ยอดเงินรับฝากในช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 อยู่ที่ 13,289,127 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 750,000 ล้านบาทจากสิ้นปี 2562 มาจากเงินฝากทุกประเภทโดยเฉพาะเงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากกระแสรายวัน เงินฝากประเภทจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลา เป็นต้นซึ่งธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL มีเงินฝากสูงที่สุดที่ 2,514,331 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.1% และพบว่า ธนาคารที่จำนวนเงินฝากเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ ธนาคารกรุงไทย หรือ KTB เพิ่มขึ้นกว่า 196,658 ล้านบาท หรือ 9.1% อยู่ที่ 2,352,523 ล้านบาท ขณะที่อัตราการเพิ่มมากที่สุด คือ ธนาคารเกียรตินาคิน หรือ KKP เพิ่มขึ้น 30.0% เงินฝากอยู่ที่ 223,815 ล้านบาท ส่วน TMB หรือธนาคารทหารไทยและธนชาตที่รวมงบการเงินกันแล้ว พบว่าเงินฝากยังทรงตัวในระดับเดิม ทั้งนี้ มีเพียงธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ หรือ LH Bank ที่เงินฝากลดลงเล็กน้อยราว 1.0% ส่วนหนึ่งจากเงินรับฝากประเภทจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาและเงินฝากที่จ่ายคืนเมื่อทวงถาม
สถานการณ์เงินฝากที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความกังวลต่อการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้ราคาสินทรัพย์ในตลาดการเงินผันผวน มีการย้ายเงินลงทุนจากสินทรัพย์ต่างๆ รวมทั้งนักลงทุนบางรายลดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เลี่ยงลงมาไว้ในเงินฝาก รวมทั้งจากการที่ธุรกิจชะลอการลงทุนใหม่และเปลี่ยนการลงทุนมาอยู่ในรูปแบบเงินสด หรือเงินฝากธนาคารเพื่อรักษาสภาพคล่องของบริษัท ทั้งนี้ บางธนาคารมีนโยบายสนับสนุนให้มีการเปิดบัญชีผ่านช่องทางดิจิทัลและใช้บัญชีดิทัลมากขึ้นทำให้เงินฝากรายย่อยเพิ่มขึ้น รายละเอียดตามตาราง ดังนี้
ขยายระระเวลาคุ้มครองเงินฝาก
ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของ COVID-2019 ที่องค์การอนามัยโลกประกาศให้เป็นภาวะการระบาดใหญ่ทั่วโลก และส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจและสังคมของทั่วโลก เกิดความผันผวนในตลาดเงิน ตลาดทุน ซึ่งประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน เพื่อแก้ไขปัญหาผลกระทบจาก และรักษาความเชื่อมั่นของผู้ฝากเงินซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงต่อระบบสถาบันการเงินและระบบเศรษฐกิจโดยรวม จึงขยายระยะเวลาการบังคับใช้วงเงินคุ้มครองเงินฝาก เดือนเมษายนที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติให้ความเห็นชอบขยายระยะเวลาบังคับใช้วงเงินการคุ้มครองเงินฝาก จำนวน 5 ล้านบาท จากเดิมที่จะสิ้นสุดวันที่ 10 ส.ค. 2563 เป็นขยายระยะเวลาถึงวันที่ 10 ส.ค. 2563 หรือเดิมวันที่ 11 ส.ค.2563 วงเงินคุ้มครองเงินฝากจะลดลงเหลือ 1 ล้านบาท ให้ขยายระยะเวลาออกไปเป็นบังคับใช้วันที่ 11 ส.ค. 2564
สินเชื่อแบงก์เติบโตเล็กน้อย
ด้านสินเชื่อของแบงก์ภาพรวมยังเติบโตได้ แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาสินเชื่อแบงก์จะเติบโตราว 1-2 เท่าของอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ(จีดีพี) แต่ปีนี้คาดว่าจีดีพี ไตรมาส 1 ปี 2563 จะติดลบ ดังนั้น การเติบโตของสินเชื่อในระดับนี้ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ยังไปได้ โดยแบงก์ยังสามารถเติบโตในส่วนสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ได้ ส่วนสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) และสินเชื่อรายย่อย ยังทรง ๆ ตัวและปรับลดลงบ้าง สำหรับแบงก์ที่สินเชื่อลดลงมาจากการชำระคืนตามการครบกำหนด โดย KTB มียอดรวมสินเชื่อสูงสุดที่ 2,129,338 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9% ด้าน KKP สินเชื่อเพิ่มขึ้นสูงสุด 3.8% อยู่ที่ 247,103 ล้านบาท ขณะที่ BBL สินเชื่ออยู่ที่ 2,115,950 ล้านบาท เติบโตจากสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่และสินเชื่อจากการเข้าซื้อกิจการธนาคารพีที เพอร์มาตา ทีบีเค ของอินโดนีเซีย ส่วน SCB สินเชื่อลดลง 0.9% จากการชำระคืน คงค้างอยู่ที่ 2,095,504 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินว่า ภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่เปราะบางและมีความเสี่ยงขาลง จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นแรงกดดันการเติบโตต่อสินเชื่อแบงก์ในปี 2563 คาดอัตราเติบโตของสินเชื่อปีนี้ทำได้เพียงทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเรามองสินเชื่อที่จะหดตัวมากคือ สินเชื่อส่วนบุคคลที่แปรผันตามการบริโภคของภาคครัวเรือน และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่อ่อนแอตามยอดขายรถยนต์ในประเทศ
สินเชื่อในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2563 ที่ยังเติบโตได้ เพราะผลกระทบจาก COVID-19 อาจจะยังไม่ถาโถมรุนแรงมากนัก แต่ต้องจับตาดูว่าตัวเลข ไตรมาสที่ 2 ปี 2563 ซึ่งเป็นไตรมาสที่โดนคลื่น COVID-19 ซัดรุนแรง คาดว่าในตัวเลขต่างๆ ของแบงก์จะออกมาย่ำแย่ที่เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ ที่ล้วนได้รับผลกระทบถ้วนหน้าพร้อมๆ กัน
ส่วนช่วงที่เหลือของปีสถานการณ์จะเป็นเช่นไร คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และต้องติดตามว่าแต่ละแบงก์จะมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการทำธุรกิจอย่างไรบ้าง...
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก