นักลงทุนรุ่นใหม่ ๆ ที่นิยมการเล่นหุ้นด้วยการใช้เครื่องมือวิเคราะห์การลงทุนทางเทคนิค ชื่อที่คุ้นเคยกันดีในวงการหุ้น "ธำรงชัย เอกอมรวงศ์" หรือ "หยง" มือโปรด้านการลงทุนทางเทคนิคทั้งหุ้น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ฯลฯ แต่วันนี้พอร์ตของเขากำลังจะเปลี่ยนไป !
"คุณหยง" ได้เล่าถึงการลงทุนในปี 2560 ให้ "ทีมงานประชาชาติธุรกิจ" ฟังว่า เขาได้เริ่มทดลองปรับรูปแบบการลงทุนในพอร์ต จากเดิมที่เน้นซื้อขายเก็งกำไรอย่างรวดเร็วผ่านเครื่องมือการวิเคราะห์สัญญาณทางเทคนิค วันนี้ก็ต้องมาหาเครื่องมือการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานสไตล์นักลงทุนหุ้นคุณค่า (Value Investor : VI)
แต่ก่อนที่จะเริ่มลงทุนในสไตล์ VI เขาได้ไปลงเรียนในคอร์สระยะสั้น ที่มหาวิทยาลัยโคลอมเบีย กับ บรู๊ซ ซี.เอ็น. กรีนวอลด์ หลังจากที่ได้อ่านหนังสือเรื่อง "Value Investing" เนื่องจากในช่วงปีก่อน เขาเริ่มมีความคิดว่า การสไตล์การลงทุนแบบเทรดเดอร์ อาจจะไม่เหมาะกับทุกสภาวะตลาด และในอนาคตหากต้องการมีเงินใช้อย่างเพียงพอหลังเกษียณ จะรอหวังผลจากการเทรดหุ้นระยะสั้นอย่างเดียวไม่ได้
"ทุกวันนี้เวลาเทรด ช่วงที่ตลาดดี ๆ ก็ยังได้ แต่ช่วงตลาดแย่ เงินมันก็กลับคืนไป แน่นอนตอนนี้พอร์ตของผมก็ยังโต แต่ผมก็มีคำถามในใจว่า เราจะหยุดเทรดได้อย่างไร ชีวิตนี้จะหยุดเมื่อไหร่ ดังนั้นยังคงอาศัยการเป็นเทรดเดอร์หาเงิน ซึ่งอาจจะเกิดการเขวี้ยงงูไม่พ้นคอก็ได้ คือถ้าหยุดเทรด เงินก็ไม่เข้า ดังนั้นต่อให้มีเงิน 10 ล้าน แต่เราจะไม่กล้าใช้เงิน เพราะมันไม่มีเงินใหม่เข้ามา ก็ไม่อุ่นใจ หลังเกษียณแม้บางคนจะมีเงิน มีบ้าน ไม่มีหนี้ แต่ก็จะไม่กล้าใช้เงิน เพราะไม่มีเงินก้อนเข้ามา ดังนั้นผมเลยไปลงคอร์สเรียน เพื่อศึกษาการเป็นนักลงทุน VI ดู เพราะอยากแก่แล้วกล้าใช้เงิน"
การทุ่มเงินเพื่อเข้าไปเรียนในคลาสนี้ ไม่เพียงจะให้ความรู้เท่านั้น แต่ยังสร้างความประหลาดใจให้กับเขาด้วย เพราะคลาสนี้ได้สอนว่า สำหรับนักลงทุน VI ที่แท้จริง จะไม่ใช้หลักการวิเคราะห์บริษัทที่ดูค่าพี/อี (อัตราปิดต่อกำไรต่อหุ้น), มูลค่าหุ้นทางบัญชี (PBV) และไม่มีการทำประมาณการคิดลดกระแสเงินสด (DCF) เนื่องจากตัวแปรที่เยอะเกินไป จะคาดการณ์อนาคตไกลไม่แม่นยำ
"โปรเฟสเซอร์บรู๊ซ ซี.เอ็น. กรีนวอลด์ ได้ตั้งคำถามที่น่าสนใจว่า ทำไมในเชิงการวิเคราะห์พื้นฐานของแต่ละบริษัท เราจะต้องใช้บรรทัดฐานการประเมินมูลค่ากิจการแบบเดียวกันหมด ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ความจริงแล้วควรเริ่มต้นจากการอ่านให้ออกก่อนว่า แคแร็กเตอร์ของแต่ละบริษัทเป็นอย่างไร แล้วจึงนำข้อมูลที่ได้มาหาค่าทางคณิตศาสตร์"
ดังนั้น ด่านแรกของคลาสนี้ได้สอนว่าต้องแยกแยะก่อนว่าบริษัท (หุ้น) ที่จะลงทุนมี "ความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ" หรือไม่ ซึ่งในกรณีที่มีความสามารถในการแข่งขันดังกล่าว จะให้ใช้ "กำไร" (Earning) ของบริษัทดังกล่าวมาประเมินมูลค่ากิจการ แต่ถ้าเป็นบริษัทที่ "ไม่มีความได้เปรียบทางการแข่งขัน" ซึ่งหมายถึงสินค้าที่ผลิตของบริษัทนั้นจะเหมือนกับที่คู่แข่งทำกัน เช่น ขายดิน ขายหิน ขายทราย ขายถ่านหิน ขายน้ำมันฯลฯ ก็จะต้องเอาสินทรัพย์ (Asset) มาประเมินมูลค่ากิจการ
"วิธีนี้ใช้ได้กับบริษัทจดทะเบียนไทยได้อย่างแน่นอน ผมฟันธง แต่สิ่งที่ผมสงสัยอย่างหนึ่งคือ ทำไมเรายังยึดค่าพี/อีอยู่ ทั้งที่จริงแล้วเราควรประเมินตามรูปแบบลักษณะความสามารถในการแข่งขันที่แตกต่างกัน แต่บ้านเราเกือบจะใช้บรรทัดฐานเดียวกันในเกือบทุกกิจการ"
อย่างไรก็ตาม แม้จะเรียนรู้การลงทุนแบบ VI แต่ "คุณหยง" ยังคงไม่ทิ้งศาสตร์การลงทุนแบบเทคนิคอลในเรื่องการวิเคราะห์กราฟ เพราะเขายังคงประยุกต์ใช้ควบคู่กันไป ซึ่งจะช่วยให้เห็นแนวรับ แนวต้าน และปรับปรุงต้นทุนราคาหุ้นให้ดีขึ้นได้
และตอนนี้ "คุณหยง" ก็ได้เริ่มมองหาหุ้นสไตล์ VI เข้าพอร์ตบ้างแล้ว เช่น หุ้นที่มีแนวโน้มจะให้ผลตอบแทนจากการปันผลที่ดี อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับนักลงทุนที่อยู่ในวังวนของเกมในตลาดทุกวันนี้ คือ นักลงทุนมักเข้าใจผิดว่าจะต้องซื้อหุ้นเพื่อให้ได้ปันผล 8-10% ในวันนี้ทันที ซึ่งความเป็นจริงแล้วไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เพราะตลาดหุ้นอยู่ในสภาวะค่อนข้างแพง ดังนั้น นักลงทุนจึงต้องอ่านศักยภาพในการแข่งขันให้ออก เพราะตอนนี้อาจมีหุ้นที่จ่ายปันผลเพียง 4% ให้เห็นเท่านั้น แต่ถ้าหุ้นตัวนั้นมีศักยภาพในการเติบโต รวมถึงกำไรเติบโต เงินปันผลก็จะโตต่อได้อีก 3-5 ปี ซึ่งอาจปันผลถึง 10% ได้
"เทรดเดอร์เกือบจะทุกคนยังไม่ได้คิดเรื่องนี้ เพราะชีวิตของทุกคนอู้ฟู่อยู่ แต่ไม่เคยคิดว่าต่อไป สายตาคุณจะไม่แหลมคมเท่านี้ คุณจะไม่ได้นั่งดูหุ้นทุกวันแบบนี้ คุณจะล้า คุณจะคมน้อยลงและถ้าอนาคตคุณมีพอร์ตใหญ่ขึ้นมากจะทำอย่างไร สังเกตนักลงทุนรายใหญ่ที่เป็นสายเทรดเดอร์เทียบกับสาย VI สิว่า เมื่อพอร์ตมีขนาดใหญ่ขึ้น คนที่เป็น VI จะชิลล์มาก ขณะที่เทรดเดอร์ยังทำงานหนักมาก"
หากนักลงทุนต้องการปรับพอร์ตให้เทรดได้ยาวขึ้นในปีนี้ที่ตลาดหุ้นแพง"คุณหยง"ทิ้งท้ายว่าให้ใช้หลักการที่ว่าหากหุ้นขึ้น100%ให้ขายออกครึ่งหนึ่ง ซึ่งจะทำให้หุ้นจำนวนที่เหลือก็คือส่วนของกำไร ที่จะไม่มีทางจะเข้าเนื้อ จึงน่าจะช่วยให้นักลงทุนรับมือกับตลาดในปีนี้ได้
เครดิต : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์