ห้องเม่าปีกเหล็ก

ทำธุรกิจ'หลักทรัพย์'...ไม่'ง่าย'อย่างที่คิด

โดย poomai
เผยแพร่ :
84 views

ทำธุรกิจ'หลักทรัพย์'...ไม่'ง่าย'อย่างที่คิด

 

 

บริษัทหลักทรัพย์เป็น "ตัวกลาง" ให้กับลูกค้าในการซื้อขายหลักทรัพย์ จึงต้องมีความพร้อมรอบด้านเพื่อรองรับความต้องการใช้บริการที่หลากหลาย

 

ในปัจจุบันการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์มีความหลากหลาย อาทิ นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การค้าหลักทรัพย์ การจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ การเป็นที่ปรึกษาการลงทุน การจัดการกองทุนรวมและการจัดการกองทุนส่วนบุคคล

การเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์นั้น เปรียบเสมือนการทำหน้าที่ตัวกลางให้กับลูกค้าในการซื้อขายหลักทรัพย์ ในการให้บริการลูกค้าจะมีกระบวนการตั้งแต่ก่อนทำการทำการซื้อขาย (Pre trade) ที่ต้องมีการทำความรู้จักลูกค้าและการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (Know Your Customer/Customer Due Diligence หรือ KYC/CDD) การประเมินความเหมาะสมในการลงทุน(SuitabilityTest) การจัดทำบทวิเคราะห์เพื่อเป็นข้อมูลให้ลูกค้าใช้ประกอบการตัดสินใจ การให้บริการซื้อขายที่มีการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ทั้งผ่านผู้แนะนำการลงทุน และส่งคำสั่งด้วยตนเองผ่านช่องทาง electronic กระบวนการให้บริการหลังการขาย (Post trade)ที่จะต้องดูแลทรัพย์สินของลูกค้าไม่ว่าจะเป็นหลักทรัพย์ที่ลูกค้าลงทุนหรือเงินที่วางเป็นหลักประกันต่างๆ รวมถึงการอำนวยความสะดวกให้มีช่องทางการชำระราคาการซื้อขายที่หลากหลาย

ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้ผู้ที่เข้ามาประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ต้องมีทั้งความรู้ความชำนาญ และต้องมีความพร้อมในเรื่องเงินลงทุนในด้านต่างๆ เป็นอย่างมาก ซึ่งสิ่งสำคัญประกอบด้วย 

1.ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ต้องมีความพร้อมทั้งด้านเงินทุน และ Know-how

ในการทำหน้าที่เป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ให้กับลูกค้า ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของลูกค้าโดยตรง จึงมีความจำเป็นที่ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์จะต้องมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีเงินทุนเพียงพอในการรองรับการประกอบธุรกิจ และมีสภาพคล่องในการดำเนินงาน เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้อง และไม่ทำให้เกิดปัญหาต่อระบบการซื้อขายโดยรวม

ในส่วนของบริษัทหลักทรัพย์ ต้องมีการปฏิบัติตามเกณฑ์ทางด้านฐานะทางการเงินและการดูแลทรัพย์สินของลูกค้าตามที่สำนักงาน ก.ล.ต.กำหนดอย่างเคร่งครัดในประเด็นสำคัญ เช่น การมีฐานะทางการเงินที่มั่นคง ในการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์แบบครบวงจรจะต้องมีทุนจดทะเบียนซึ่งชำระแล้วไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท และเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่สำนักงาน ก.ล.ต.กำหนดตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจซึ่งต้องคำนวณเป็นรายวัน

รวมถึงการเก็บรักษาและดูแลทรัพย์สินของลูกค้าให้มีความปลอดภัย , การจัดให้มีระบบงานที่เหมาะสม และมีระบบสำรองเพื่อให้แน่ใจว่าสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง และการให้ความสำคัญกับเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายหลัก 2 ด้าน ได้แก่ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และบุคลากร

2.เงินลงทุนขึ้นอยู่กับ Business Model ซึ่งอาจสูงระดับพันล้านบาท

ข้อมูลจากรายงานการศึกษาต้นทุนการประกอบธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ (2559) ซึ่งสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทยมอบหมายให้ศูนย์บริการวิชาการและฝึกอบรม คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดทำขึ้นพบว่า ต้นทุนในการประกอบธุรกิจจะแตกต่างกันไปตาม Business Model ซึ่งมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายด้าน อาทิเช่น ลักษณะของบริษัท - เป็นบริษัทเดี่ยว หรือเป็นบริษัทลูกของสถาบันการเงิน , รูปแบบการประกอบธุรกิจ -ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อย่างเดียว หรือธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทอื่นๆด้วย มีการทำ Proprietary Trading ด้วยหรือไม่ , กลุ่มลูกค้า - ให้บริการลูกค้าทั้งรายย่อยและลูกค้าสถาบัน หรือให้บริการเฉพาะลูกค้าสถาบัน 

โดยข้อมูลล่าสุดจากงบกำไรขาดทุนของบริษัทหลักทรัพย์ในไตรมาส 2/2559 ที่เผยแพร่โดยสำนักงาน ก.ล.ต.พบว่า ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่มาจาก ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน เป็นสัดส่วนมากที่สุดกว่า 50% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด เนื่องจากลักษณะทางธุรกิจที่จะต้องจัดให้มีบุคลากรสำหรับให้บริการลูกค้าในแต่ละขั้นตอน ค่าใช้จ่ายรองลงมาได้แก่ ค่าใช้จ่ายด้าน IT สถานที่และอุปกรณ์ ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายด้านค่าเช่า และค่าบำรุงรักษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศด้วย (Software และ Hardware) คิดเป็นสัดส่วน 14.1%ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ส่วนค่าใช้จ่ายลำดับถัดมา ได้แก่ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ คิดเป็น 13.6%ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด และค่าธรรมเนียมและบริการ

3.อัตราค่าธรรมเนียมควรอยู่ในระดับที่เหมาะสมและสอดคล้องกับคุณภาพการให้บริการ

จากที่กล่าวถึงในข้างต้นจะเห็นได้ว่าการให้บริการธุรกิจหลักทรัพย์ ประกอบด้วย ต้นทุนหลักที่เกี่ยวข้องหลายด้าน ซึ่งแม้ว่าในทางปฏิบัติแล้วต้นทุนที่บริษัทหลักทรัพย์แต่ละรายต้องจ่ายอาจจะมีความแตกต่างกันไปบ้างตาม Business Model ก็ตาม แต่โดยหลักการแล้ว บริษัทหลักทรัพย์ควรที่จะมีรายได้ในระดับที่เหมาะสมเพื่อให้ครอบคลุมกับต้นทุนเหล่านั้น และเพียงพอที่จะรักษามาตรฐานของการให้บริการที่มีคุณภาพแก่ลูกค้าในด้านต่างๆ ส่งผลให้การกำหนดค่าธรรมเนียมจากการให้บริการต่างๆของแต่ละบริษัทแตกต่างกันไปตามรูปแบบและคุณภาพของการให้บริการ ซึ่งในมุมของลูกค้าเองนั้นก็สามารถที่จะตัดสินใจเลือกใช้บริการของบริษัทหลักทรัพย์ที่มีรูปแบบการให้บริการสอดคล้องกับที่ตนเองต้องการ และชำระค่าธรรมเนียมในอัตราตามที่กำหนด

ด้วยเหตุที่ในปัจจุบันรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทหลักทรัพย์ยังคงมาจากค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ โดยคิดเป็นสัดส่วนที่ประมาณ 60% ของรายได้ทั้งหมด แม้ว่าจะมีแนวโน้มลดลงตามลำดับจากการที่บริษัทหลักทรัพย์แสวงหารายได้จากช่องทางอื่นๆเพิ่มก็ตาม จึงกล่าวได้ว่า การกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมนับเป็นประเด็นที่มีความสำคัญ เพราะจะช่วยให้บริษัทหลักทรัพย์มีรายได้เพียงพอในการที่จะให้บริการที่มีคุณภาพต่อผู้ลงทุนอย่างสอดคล้องกับต้นทุนของการประกอบธุรกิจ โดยไม่เป็นอัตราที่ต่ำจนอาจทำให้ธุรกิจประสบภาวะขาดทุนและนำไปสู่การลดคุณภาพของบริการที่ควรมี และไม่เป็นอัตราที่สูงจนเป็นภาระแก่ผู้ลงทุน อีกทั้ง ยังช่วยเอื้อให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมในธุรกิจ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมหลักทรัพย์และตลาดทุนไทยในภาพรวมต่อไป

 

 

ขอบคุณที่มาข้อมูลจาก


poomai