ห้องเม่าปีกเหล็ก

11 สิ่งที่เราจะได้เรียนรู้จากจดหมายถึงผู้ถือหุ้นวอเร็น บัฟเฟตต์ ปี 2017

โดย SiTh LoRd PaCk
เผยแพร่ :
73 views

(Credit ภาพ : Money Channel)

 

1. ผลตอบแทนของหุ้น Berkshire Hathaway
บัฟเฟตต์บอกว่า มูลค่าทางบัญชีหุ้น Berkshire ทั้งคลาส A และ B เพิ่มขึ้นถึง 23% ทำให้มีกำไรสุทธิสูงถึง 65.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงเวลา 53 ปี ราคาหุ้นวิ่งจาก 19 เหรียญมาแตะระดับ 2.11 แสนเหรียญ คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นมากถึง 19.1% ต่อปีตลอดระยะเวลา 53 ปี

บัฟเฟตต์บอกว่าที่ขึ้นมาได้ขนาดนี้เป็นเพราะการออกฏหมายเกี่ยวกับเรื่องภาษีและการบันทึกตัวเลขทางบัญชีใหม่ซึ่งออกโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ .. บัฟเฟตต์กล่าวเสริมอีกว่า กำไรมากกว่า 90% ล้วนมาจากประเทศที่ชื่อว่าอเมริกา ถึงแม้เขาจะพลาด 10% ไป เขาก็ยังสร้างผลตอบแทนได้อย่างงดงามอยู่ดี (บัฟเฟตต์กล่าวเป็นนัยๆว่า ทำไมต้องดิ้นรนไปลงทุนต่างประเทศเพื่อเพิ่มผลตอบแทนอีก 10% มันไม่มีความจำเป็นเลย ลงทุนในอเมริกานี้แหละดีที่สุดแล้ว)

"กำไรที่ยังไม่ได้เกิดจากการขาย เราเรียกมันว่า unrealized gains เป็นกำไรที่ขึ้นๆลงๆ เราไม่เห็นด้วยที่นักลงทุนจะเน้นไปที่กำไรเพียงอย่างเดียว ถ้าตลาดหุ้นเกิดการปรับาน พอร์ตโฟลิโอของเราก็จะได้รับผลกระทบ การสร้างผลตอบแทนก็อาจจะไม่ดีนัก แต่นั้นเป็นเรื่องของระยะสั้น เรื่องระยะยาวคือ คุณภาพของหุ้นที่ทาง Berkshire เป็นผู้ถือต่างหาก"

 

2. เวลาที่ดีที่สุดในการ "ขายหุ้น"
(That’s largely because we sell securities when that seems the intelligent thing to do, not because we are trying to influence earnings in any way)
เวลาที่ดีที่สุดในการขายหุ้น คือ เวลาที่เราคิดว่าฉลาดที่สุดในการขาย ไม่ใช่ขายเพราะเราเห็นกำไรที่ทำได้มากเกินไปแล้ว เราไม่ควรให้อิทธิพลของ "กำไร" มากดดันให้เราขายหุ้นทีดีทิ้งไป

 

3.การเข้าซื้อกิจการ (1)
กุญแจสำคัญ 4 ข้อที่เราจะซื้อหุ้น คือ
1. ขนาดของกิจการที่ Berkshire จะเข้าไปซื้อหุ้น
2. กิจการที่เราเข้าไปซื้อ เรามีความเข้าใจหรือไหม (..fit with businesses we already own.)
3. การเติบโตของยอดขาย และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นตามยอดขายหรือไม่
4. ราคาที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ เราต้องดูกิจการแข็งแกร่งหรือไม่ ทีมผู้บริหารที่มีศักยภาพ ใช้เงินลงทุนได้อย่างเหมาะสม แต่ที่สำคัญที่สุดที่เป็นตัวตัดสินว่าเราจะซื้อหรือไม่ คือ ราคาที่สมเหตุสมผล

 

4.การเข้าซื้อกิจการ (2)
ทำไม CEO จำนวนมากถึงชอบซื้อกิจการ ?
เพราะพวกเขาโดนสื่อ โบรคเกอร์ Investment Banker เชียร์ให้เกิดดีลใหญ่ๆ เพราะพวกเขาจะได้รับเงินค่านายหน้าจากการทำธุรกรรม ถึงแม้ CEO เหล่านั้นจะรู้ดีว่า ราคาที่ซื้อนั้นแพงขนาดไหน แต่มันก็สามารถทำให้มันดูดีและคุ้มค่าโดยการทำนายยอดขายผ่านคอมพิวเตอร์ ... Spreadsheets ของ Excel ไม่เคยทำให้เราผิดหวัง

หลังจากการซื้อกิจการเสร็จ เรามักจะมีคำโก้หรูที่เปลี่ยนจากกิจการราคาแพงให้ดูมีความสมเหตุสมผลว่า "synergy (การรวมพลัง)" โดยมีผู้ถือหุ้นเป็นผู้จ่าย

ในปี 2017 ที่ผ่านมา มีดีลการซื้อกิจการมากมายโดยที่พวกเขาเชื่อกันว่ามันจะผลักดันกำไรให้เติบโตขึ้นอย่างมหาศาล แต่สิ่งที่เราลืมคิดไปนั้น คือ บริษัทนั้นโตด้วยการเพิ่มหนี้

พวกเราไม่เคยคิด ไม่เคยมองหาการ synergy ถึงแม้ว่าการกู้เงินจะเป็นการเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้สูงขึ้น แต่ผมกับชาลีหวังแค่ว่า เราจะนอนหลับได้อย่างสบายใจ พวกเราไม่จำเป็นต้องเพิ่มความเสี่ยงมากมายจากสิ่งที่เราไม่ต้องการ

 

5. สิ่งที่ทุกคนมองข้ามในการเข้าซื้อหุ้น
บัฟเฟตต์ พูดถึงหุ้นต่างๆที่เขาได้เข้าไปซื้อในปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น PFJ ธุรกิจจุดพักรถ สถานีบริการน้ำมัน, ธุรกิจ Clayton Homes, Shaw Industrie และ Precision Castpart ซึ่งจะเน้นพูดถึงตัวผู้บริหารมากกว่า

นั้นหมายความว่าบัฟเฟตต์ให้ความสำคัญกับตัวผู้บริหาร และภาพของธุรกิจมากที่สุด บัฟเฟตต์แทบจะไม่ได้พูดถึงเรื่องการคาดการณ์กำไรในอนาคตเลย

 

6. ความผันผวนของตลาดคือของปลอม ปันผลคือของจริง
ชาลี และผมเข้าใจในเรื่องของความเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ และนั้นคือความหมายที่แท้จริงของหุ้น พวกเราไม่ได้ซื้อหรือขายมันเพราะ "กราฟราคาหุ้น" ,"ราคาเป้าหมายจากบทวิเคราะห์" หรือแรงเชียร์ซื้อหรือขายจากคนส่วนใหญ่ พวกเราซื้อและถือมันไว้เพราะคิดว่ามันเป็นธุรกิจที่ดีและยังมีปันผล

ปันผลเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม ปีที่ผ่านมา Berkshire ได้รับเงินปันผลมากถึง 3.7 พันล้านเหรียญภายในปีเดียว ผมอยากจะชี้ว่าปันผล คือ เงินสด "ที่แท้จริง" ที่จะไหลเข้าสู่กระเป๋าของนักลงทุนและเป็นรางวัลสำหรับนักลงทุนที่ถือมันไว้ สำหรับผมแล้ว ผมยินดีที่จะรับเงินปันผลจากธุรกิจมากกว่าการคาดหวังส่วนต่างราคาหุ้น

การคาดการณ์ตลาดหุ้นระยะสั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะคาดเดา หุ้นอาจจะขึ้นแรงและลงแรงได้เมื่อเวลาผ่านไป ก็เหมือนอย่างที่เบน เกรเฮม บอกไว้ในระยะสั้นตลาดหุ้นเหมือนเครื่องลงคะแนนเสียง แต่ในระยะยาวแล้วมันคือเครื่องช่างน้ำหนัก

 

7. ตลาดหุ้นพร้อมจะลงได้ทุกเมื่อ
ผมไม่ได้บอกว่าตลาดหุ้นจะลง แต่ผมอยากจะยกตัวอย่างตลอดการลงทุนของ 53 ปี ที่ผมสร้าง Berkshire ขึ้นมา ผ่านช่วงตลาดขาลงอย่างยาวนาน แต่ผมก็ตระหนักอยู่เสมอว่าการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และอัตราดอกเบี้ยทบต้นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่จะสร้างความมั่งคั่งของคุณในระยะยาว

ปีแล้วปีเล่า เรานำพาบริษัทผ่านตลาดขาลงรอบใหญ่ ที่ผมเรียกว่า "การปรับฐานครั้งใหญ่ 4 รอบ" และมีผลกระทบกับพอร์ตหุ้นของ Berkshire มากพอสมควร อันได้แก่

 

 
การปรับฐานครั้งใหญ่ของตลาดหุ้นวอลสตรีท
(Credit ภาพ : Annual Report 2017 , Berkshire Hathaway)

เป็นอย่างไรบ้างครับ มันดูเหมือนง่ายที่เรามองดูตลาดขาลงในช่วงเวลาที่ผ่านมาแล้ว แต่ในความเป็นจริง คือไม่มีใครมาบอกคุณหรอกว่าหุ้นจะหยุดลงจนถึงเมื่อไร สำหรับนักลงทุนอาจจะประสบปัญหาขาดทุนระยะสั้น แต่นั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาจะเกิดกับคนที่ชอบ "ยืมเงิน" มาลงทุนในหุ้นนี้สิ! คุณจะไม่มีวันทำผลงานได้ดีในตลาดหุ้น ถ้าคุณเป็นพวกชอบกู้เงินมาลงทุน ต่อให้คุณซื้อในจุดต่ำสุด เวลาคุณขาย คุณก็ไม่มีทางขายในช่วงเวลาที่งดงามได้อยู่ดี เพราะคุณจะถูกกดดันจากข่าว สื่อ ข่าวร้ายๆจากหน้าหนังสือพิมพ์ และปล่อยหุ้นออกไปด้วยกำไรที่นิดเดียว

อีก 53 ปีนับจากนี้ ผมเชื่อว่าเราจะต้องเจอการปรับฐานครั้งใหญ่แบบนี้อีกแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไร และก็ไม่มีใครรู้ ก็เหมือนกับแสงที่เปลี่ยนจากสีเขียวไปเป็นสีแดงในทันที มันไม่มีการหยุดเป็นสีเหลืองเพื่อเตรียมพร้อมเป็นสีแดง (The light can at any time go from green to red without pausing at yellow)

 

8. การลงทุนในกองทุนรวม
วอเร็น บัฟเฟตต์ ยังคงแนะนำให้ลงทุนในกองทุนรวมอิงดัชนีที่คิดค่าบริหารต่ำ

เขายังฝากข้อคิดอีกว่า "A willingness to look unimaginative for a sustained period – or even to look foolish – is also essential" การลงทุนที่เราคิดว่าดูไม่สมเหตุสมผล กลับมีประสิทธิภาพมากกว่า

 

9. ตราสารหนี้ มีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้น
มีคนจำนวนมากเรียกตราสารหนี้ว่า "Risk-free" หรือไร้ความเสี่ยง
ในปี 2012 มีคนจำนวนมากนิยมลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ดอกเบี้ย 1%ต่อปี แต่ผมไม่เคยคิดเลยว่าเมื่อเวลาผ่านไป เช่นในปี 2012 จนถึง 2017 เรากลับถูกอัตราเงินเฟ้อกัดกินไปจนสิ้น และคนที่ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐแทบจะไม่ได้รางวัลของการลงทุนในสิ่งที่เรียกว่า "Risk-free" เลย

มันเป็นความผิดพลาดมากสำหรับคนที่เรียกตัวเองว่านักลงทุนระยะยาว แล้วเราต้องมาประเมินความเสี่ยงผ่าน"อัตราส่วน" พอร์ตโฟลิโอที่เหมาะสมระหว่างตราสารหนี้และหุ้นสามัญควรจะเป็นเท่าไรดี .. ประวัติศาสตร์บอกเราหลายครั้งแล้วว่า ตราสารหนี้ระยะยาวคือตัวเพิ่มความเสี่ยงให้กับพอร์ตโฟลิโอ (high-grade bonds in an investment portfolio increase its risk.)

 

10. หุ้นที่เปลี่ยนแปลงไปในพอร์ตโฟลิโอของ Berkshire
บัฟเฟตต์ เปิดเผยรายชื่อหุ้น 15 อันดับแรกที่เขาถือไว้มากที่สุด สิ้นปี 2017 พอร์ตโฟลิโอมีมูลค่าสูงถึง 25.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ


รายชื่อหุ้น 15 ตัวแรกที่บัฟเฟตต์ถือไว้เป็นจำนวนมาก
(Credit ภาพ : Annual Report 2017 , Berkshire Hathaway)

 

11. Performance comes, performance goes. Fees never falter

วอเร็น บัฟเฟตต์พูดถึงการลงทุนในกองทุนรวมหุ้น ...

มี "ผู้เชี่ยวชาญ" จำนวนมากถูกจ้างมาให้บริหารเงินผ่านกองทุนรวม ถ้าผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเหล่านั้นถูกถามในช่วงปลายปี 2007 ว่าการลงทุนในหุ้นจะได้ผลตอบแทนกี่เปอร์เซนต์ พวกเขาเหล่านั้นก็จะตอบว่า ประมาณ 8.5% อ้างอิงกับดัชนี S&P 500 แต่มีน้อยคนนักที่ทำได้แบบนั้นจริงๆ

อย่างไรก็ตามนักลงทุนจำนวนมากก็ยังประสบปัญหากับ "ทศวรรษที่หายไป" อยู่ดี เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า
"ผลตอบแทนที่ดีเข้ามา ผลตอบแทนที่ดีจากไปแล้ว แต่ค่าธรรมเนียมไม่เคยหลับใหล" (Performance comes, performance goes. Fees never falter)

-------------------------------

นี้ก็เป็นสาระสำคัญคร่าวๆของจดหมายผู้ถือหุ้นฉบับปี 2017 ครับ

เขียนและเรียบเรียงตามความเข้าใจโดย SiTh LoRd PaCk

อ้างอิงจาก
http://www.berkshirehathaway.com/2017ar/2017ar.pdf


SiTh LoRd PaCk