Banking Sector : ได้ประโยชน์จากวัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้นช่วงท้าย
คาดกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารลดลง QoQ แต่เติบโตขึ้นแข็งแกร่ง เราคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 3/2566 ของกลุ่มธนาคารจะอยู่ที่ 4.72 หมื่นลบ. ลดลง 5% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 12% YoY สาเหตุของการปรับลดลงเชิง QoQ คาดจะมาจากรายการที่ไม่ใช่รายการหลัก เช่น กำไร mark-to-market จากพอร์ตลงทุนที่ลดลง ขณะที่คาดสัดส่วนรายการหลักจะเพิ่มขึ้น เช่น อัตราส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) และสัดส่วนต้นทุนต่อรายได้ ขณะที่ปัจจัยหนุนการเติบโตของกำไรสุทธิในเชิง YoY คาดจะมาจาก NIM ที่สูงขึ้นจากอัตราเงินกู้มาตรฐานที่เพิ่มขึ้น 50-70bps YoY เราคาดว่าธนาคารส่วนใหญ่จะรายงานกำไรสุทธิที่ลดลง QoQ ยกเว้น BAY (ฐานที่ต่ำ), KKP (ฐานที่ต่ำ) และ KTB (NIM ขยายตัวขึ้นมาก) เราคาดว่าจะมีแค่ KKP ที่รายงานกำไรสุทธิที่ลดลง YoY จากค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญ (credit cost) ที่สูงขึ้นและผลขาดทุนจากรถยึด รายละเอียดแสดงในตารางที่ 1
คาดคุณภาพสินทรัพย์อ่อนตัวลงแต่ของธนาคารบางแห่งยังแข็งแกร่ง เราคาดว่าสัดส่วน NPL จะเริ่มปรับเพิ่มขึ้นอีกครั้งในไตรมาส 3/2566 มาอยู่ที่ 3.5% จาก 3.4% ในไตรมาส 2/2566 จาก NPL ที่เพิ่มขึ้นจากสินเชื่อ SME และรายย่อย เราคาดว่าทั้งการตัดจำหน่ายและการขายหนี้เสียจะปรับเพิ่มขึ้นในไตรมาส 3/2566 อย่างไรก็ดี เราคาดว่า credit cost จะทรงตัว QoQ และเพิ่มขึ้น 22bps YoY มาอยู่ที่ 144bps เราคาดว่าธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงมากขึ้น เช่น KKP, SCB และ BAY จะรายงาน NPL ที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่อธุรกิจระดับสูง เช่น KTB, TTB และ BBL
จากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน คาดธนาคารจะปรับขึ้นอัตราเงินกู้ในรอบนี้ แต่เดิม ธนาคารส่วนใหญ่เลือกที่จะคงอัตราเงินกู้หลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 2.25% เราคาดว่าธนาคารส่วนใหญ่จะเริ่มปรับเพิ่ม MLR/MOR/MRR ต่อไปหลัง ธปท. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งเป็น 2.5% เมื่อวานนี้ เรามองว่าการปรับขึ้นดังกล่าวถือเป็นนัยเชิงบวกเล็กน้อยจากการตัดสินใจครั้งล่าสุดของ ธปท. เนื่องจากคาดจะช่วยกระตุ้น NIM ให้สูงขึ้นในไตรมาส 4/2566 แม้โดยปกติแล้ว Opex ของธนาคารส่วนใหญ่จะสูงขึ้นในไตรมาส 4 แต่ NIM ที่สูงขึ้นคาดจะช่วยบรรเทาผลกระทบโดยเฉพาะของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (BBL, BAY, SCB และ KTB) สำหรับธนาคารขนาดเล็ก เราคาดว่า TISCO จะยังคงกำไรสุทธิให้อยู่ในระดับเดิมไว้ได้จากอัตราสำรองต่อหนี้สูญ (coverage ratio) ระดับสูงและการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ ขณะที่คาดว่า KKP จะประสบกับความยากลำบากมากขึ้นจาก NIM ที่ลดลงและ credit cost ที่สูง
หุ้นเด่น
เราลดมุมมองของกลุ่มธนาคารลงเป็นกลางจากบวก ขณะที่ยังเลือก KTB และ BBL เป็นหุ้นเด่นของเรา สำหรับในปี 2567 เราคาดว่ากลุ่มจะน่าสนใจน้อยลงจากความเป็นไปได้ที่น้อยลงที่จะเพิ่ม NIM และลดต้นทุน ขณะที่คาดอัตราดอกเบี้ยนโยบายใกล้แตะระดับสูงสุดแล้ว เราชอบธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่มากกว่าขนาดเล็กจากประโยชน์ที่คาดได้รับจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงขึ้น, CASA ratio ที่สูงขึ้นและผลบวกทางอ้อมต่อสินเชื่อธุรกิจจากอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรที่สูงขึ้นในตลาด
• BBL ซื้อ : TP 196.00 บาท
• KTB ซื้อ : TP 24.75 บาท
