เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง พายุหมุนควงเป็นระลอก ‘10 นิ้วมือ’ ก็ไม่พอ
By ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์
ไม่เพียงแต่ปัจจัยภายในประเทศที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างแข็งแรง แต่ยังต้องเผชิญแรงกระแทกจากเวทีโลกที่แปรเปลี่ยนเร็วและรุนแรงกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ โดยเฉพาะการกลับมาของอภินิหาร “ทรัมป์ 2.0”

ขณะเดียวกัน เมื่อหันกลับมามองภายในประเทศ เราจะพบว่าสัญญาณฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังคงแผ่วเบาอย่างน่ากังวล โดยเฉพาะเศรษฐกิจไทยปี 2568 ที่คาดว่าจะเติบโตเพียง 1.6-1.8% การเติบโตในระดับต่ำเช่นนี้ ไม่ใช่เพียงแค่การ “ชะลอ” ตามวัฏจักรเศรษฐกิจ แต่สะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยที่ยังอ่อนแรง
ลองนับนิ้วไล่เรียงความเสี่ยงเล็กใหญ่ที่เศรษฐกิจไทยเผชิญอยู่ หรือ เตรียมจะเจอในครึ่งปีหลัง กางมือออก 2 ข้าง “10 นิ้วมือ” ก็เอาไม่อยู่! เรามาไล่เรียงปัจจัยใหญ่ๆ ที่กำลังถล่มเศรษฐกิจไทยในเวลานี้ ไล่ตั้งแต่เศรษฐกิจโลกสู่เศรษฐกิจไทย จากเศรษฐกิจมหภาคไปยังเศรษฐกิจจุลภาค มีอะไรบ้าง มาดูกัน
อันดับแรก “ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว” ช่วงที่ผ่านมา เป็นที่ถกเถียงกัน บางสำนักฟันธงว่าโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว ขณะที่หลายสำนักบอกว่ายัง! ซึ่งภาวะเศรษฐกิจถดถอย มีตัวชี้วัดหลายตัวร่วมด้วย ได้แก่ 1.รายได้ของบุคคลหักด้วยรายจ่าย 2.ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (nonfarm payrolls) 3.ตัวเลขการจ้างงานของครัวเรือน 4.รายจ่ายเพื่อการบริโภค 5.ยอดขายสินค้า และ 6.การผลิตในภาคอุตสาหกรรม ในขณะที่ IMF มองเศรษฐกิจโลกว่า ยังไม่พบภาวะการถดถอยของจีดีพีโลก หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมต่อหัว (GDP per Capita) ทั้งๆ ที่ ดัชนีชี้วัดทั้ง 6 ติดลบหมดทุกดัชนี
อันดับ 2 “สงครามการค้า” เป็นบ่อนทำลายเศรษฐกิจทั่วทั้งโลก ตั้งแต่สหรัฐดำเนินนโยบายการค้าระหว่างประเทศโดยมุ่งปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของสหรัฐเองมากขึ้น เพิ่มภาษีที่จัดเก็บกับสินค้านำเข้าประเทศ ใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (non-tariff barrier: NTBs) ซึ่งนโยบายข้างต้นล้วนส่งผลกระทบต่อปริมาณการค้าโลกและการส่งออกสินค้าของหลายประเทศรวมถึงไทย ตลอดจนการผลิต การจ้างงาน รวมทั้งการลงทุนของภาคเอกชนในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
อันดับ 3 “สงครามอิหร่าน-อิสราเอล” ประเทศไทยมีความต้องการใช้น้ำมันดิบเฉลี่ยมากกว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่สามารถผลิตได้ภายในประเทศเพียง 70,000 บาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 7% อีกกว่า 93% จำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ประเทศไทยเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก หากสถานการณ์บานปลายสู่สงครามระดับภูมิภาค ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น จะกระทบต้นทุนการผลิตและการขนส่งของไทยทันที ในช่วงกลางเดือน มิ.ย.2568 ราคาน้ำมันดิบพุ่งแตะระดับ 74-77 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นกว่า 10% จากเดือน พ.ค. หากมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางลำเลียงน้ำมันสำคัญของโลก ราคาน้ำมันอาจพุ่งทะลุ 100-130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ในระยะเวลาอันสั้น
อันดับ 4 “ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน” ประเทศไทยใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว ซึ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ได้กำหนดค่าเงินไว้ที่ค่าใดค่าหนึ่ง แต่จะดูแลให้ค่าเงินอยู่ในกรอบที่เหมาะสมสอดคล้องกับพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย ในอนาคต ความเสี่ยงและความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งจาก การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออก และอาจนำไปสู่การชะลอตัวของการลงทุนจากต่างประเทศได้
อันดับ 5 “ความเสี่ยงการเมือง” กรณียุบสภา ก่อนงบประมาณปี 2569 ผ่านการพิจารณางบประมาณปี 2568 ที่เหลืออยู่ต้องหยุดชะงัก (ราว 8-9 แสนล้านบาท) งบประมาณปี 2569 (ราว 3.3-3.5 ล้านล้านบาท) ล่าช้า อาจถึง 4-6 เดือน กว่างบประมาณปี 2569 จะผ่านการพิจารณา ก็อาจถึงข้ามปีไป 2569 เศรษฐกิจฝืดหนัก ขาดเม็ดเงินไปช่วยกระตุ้น เศรษฐกิจประเทศกลายเป็นเป็ดง่อย
อันดับ 6 “การลงทุนภาคเอกชนยังไม่ฟื้นตัว” ซึ่งส่วนใหญ่ Wait and See จากสถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอน การลงทุนใหม่ๆ ที่จะนำไปสู่การจ้างงานและการสร้างงานอย่างต่อเนื่องให้ประชาชนได้เป็นจำนวนมากยังไม่เห็น การเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพก็ไม่สามารถดึงดูดการลงทุนตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) ซึ่งจะเป็นกุญแจดอกสำคัญในการจ้างงานและสร้างรายได้ให้กับประชาชนได้
อันดับ 7 “หนี้ครัวเรือน” ถ่วงกำลังซื้อของคนให้อ่อนแอลงเรื่อยๆ คนไทย 25.5 ล้านคน หรือมากกว่า 1 ใน 3 ของประชากรไทย มีหนี้ คิดเป็น 91% ของ GDP ส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ 67% ของบัญชีหนี้เป็นสินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิต วันนี้ปัญหาดังกล่าวกำลังกลายเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง อาจกลายเป็น “สึนามิหนี้เสีย” ภายในครึ่งปีหลังหากยังไม่เร่งแก้ปัญหา
อันดับ 8 “หนี้ธุรกิจ” เนื่องจาก SMEs เป็นฟันเฟืองสำคัญของระบบเศรษฐกิจ ทั้งในแง่ของมูลค่าผลผลิตและการจ้างงาน สำหรับไทย SMEs มีสัดส่วนคิดเป็น 43% ต่อ GDP เป็นแหล่งจ้างงานจำนวนกว่า 14 ล้านคน หรือ 85% ของแรงงานทั้งประเทศ ส่วนใหญ่อยู่ในภาคการค้าและบริการ จากข้อมูลปัจจุบัน ลูกหนี้ SMEs กว่า 5 ล้านบัญชี มูลค่ากว่า 3.8 แสนล้านบาท
อันดับ 9 “หนี้สาธารณะ” ข้อมูลหนี้สาธารณะคงค้าง ณ เดือน ก.ย.2567 มีมูลค่ารวมกันอยู่ที่ 63.8% ของ GDP หรือราว 11.6 ล้านล้านบาท และเป็นเงินกู้ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ และการบริหารหนี้ 7.3 ล้านล้านบาท
อันดับ 10 “ค่าครองชีพ” ที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมัน สถานการณ์ในตะวันออกกลางจะบีบให้ราคาน้ำมันตลาดโลกขยับขึ้น กลายเป็นต้นทุนรายจ่ายของทุกคน สถานการณ์ข้างหน้าไม่ชัดว่าราคาน้ำมันจะเหวี่ยงไปทางไหน กลายเป็นความเสี่ยงที่เพิ่มเข้ามา
อันดับ 11 “ภาวะโลกร้อนที่รุนแรงขึ้น” ส่งผลกระทบต่อไทยอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง น้ำท่วม และพายุฝนฟ้ามาแบบผิดฤดูกาล อีกทั้งภัยแห่งแผ่นดินไหวที่เขย่าขวัญคนไทยเมื่อเร็วๆ นี้ ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรม การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยไทยถูกจัดอยู่ในอันดับ 9 ของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับพายุรอบด้าน นี่ยังไม่นับปัญหาเงินเฟ้อติดลบ นโยบายการเงินที่ยังไม่รู้จะคงดอกเบี้ยนโยบายไปได้อีกนานแค่ไหน ภาคการท่องเที่ยวที่ยังคงพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐที่ไม่ตรงจุด ไม่มีทิศทาง รวมถึงการหลั่งไหลเข้ามาของสินค้าจีนถล่มผู้ผลิตคนไทย ดูแล้วสารพัดปัญหาที่พร้อมใจกันเกิดขึ้นพร้อมกัน
มองไม่ออกจริงๆ...เศรษฐกิจไทยจะยืนหยัดฝ่าพายุหมุน 10 กว่าลูกนี้ไปได้อย่างไร?!!
ทีมา… https://www.bangkokbiznews.com/blogs/business/business/1186730