“ลดดอกเบี้ย” เหรียญสองด้าน
ในที่สุดก็เป็นไปตามที่หลายๆฝ่ายต่างพากันคาดเดาเมื่อคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เพิ่งประชุมล่าสุดเมื่อวันพุธที่ผ่านมา มีมติเป็นเอกฉันท์ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.25 เป็นร้อยละ 1.00 ต่อปี ถือว่าต่ำสุดในประวัติศาสตร์ในรอบ20ปีตั้งแต่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งเป็นต้นมาเลยทีเดียว หรืออาจจะต่ำสุดตั้งแต่มีดอกเบี้ยนโยบายก็ว่าได้
ปกติการลดดอกเบี้ยนโยบายหรือดอกเบี้ยอ้างอิงแต่ละครั้ง คณะกรรมการ กนง.ต้องคิดแล้วคิดอีกยิ่งลดดอกเบี้ยบ่อยเท่าไหร่ เท่ากับว่าอาวุธที่มีอยู่ในมือก็จะเหลือน้อยลงทุกที ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรือไม่จำเป็นจริงๆจะพยามเลี่ยงไม่ใช้วิธีนี้ ฉะนั้นการที่ กนง.ลดดอกเบี้ยครั้งนี้ เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่า เศรษฐกิจไทยปี 2563ยังอยู่ในอาการน่าเป็นห่วง น่าจะยังอยู่ในช่วงเศรษฐกิจขาลงอย่างต่อเนื่อง
ดังเหตุผลที่อ้างว่า “เศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าประมาณการเดิมและโตต่ำกว่าระดับศักยภาพ”ทั้งหลายทั้งปวงก็เนื่องจากมีปัจจัยหลายๆปัจจัยที่คาดไม่ถึงทั้ง การระบาดของไวรัสโคโรนา2019 หรือ ความล่าช้าของ พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี2563ที่เกิดจากความมักง่ายของนักการเมือง”เสียบบัตรแทนกัน”ทำให้แผนการลงทุนของรัฐต้องเลื่อนออกไป รวมถึงปีนี้เกิดวิกฤติภัยแล้งรุนแรงที่สุดในรอบ40ปีปัจจัยเหล่านี้พาเหรดมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
ฉะนั้นการ ลดดอกเบี้ยอ้างอิง วัตถุประสงค์ก็เพื่อที่จะให้ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นผู้ปล่อยเงินกู้ให้กับประชาชนและภาคธุรกิจลด “ดอกเบี้ยเงินกู้” ลงให้สอดคล้องกับการลดดอกเบี้ยนโยบายด้วย จะทำให้ต้นทุนในการกู้เงินของภาคธุรกิจ”ถูกลง”ตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากธนาคารพาณิชย์ทะยอยปรับลดดอกเบี้ยลงตามที่กนง.ประกาศ ซึ่งขณะนี้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งๆก็ทะยอยปรับตามกันบ้างแล้วอย่างน้อยๆจะส่งผลให้ “เงินบาทอ่อนค่า”ลง บ้าง ซึ่งน่าจะช่วยประคับประคองการส่งออกและธุรกิจท่องเที่ยวที่กำลังย่ำแย่ตั้งแต่ปีที่แล้วเพราะ เงินบาทแข็งค่า สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐที่ยืดเยื้อ และจากโรคระบาด ไวรัสอู่ฮั่น จะได้มีโอกาสได้เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์บ้าง
สรุปรวมแล้วเจตนารมณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ ก็เพื่อจะให้ประชาชนและภาคเอกชนมีการขยับเงินทุน และจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น หลายคนอาจจะเห็นว่าเงินฝากคงได้ผลตอบแทนอะไรไม่มาก ต้องนำเงินออกไปทำอะไรเพื่อให้มันมีผลตอบแทนมากกว่าเดิม หากเป็นลูกค้าเงินกู้ พวกสินเชื่อบ้านก็คงคลายกังวลไปเปราะหนึ่ง เพราะภาระดอกเบี้ยคงลดลงตามไปด้วย เกิดเม็ดเงินไหลออกจากระบบ เกิดการจับจ่าย หมุนเวียน ใช้คล่องขึ้น
อย่างไรก็ตามเหรียญย่อมมี 2 ด้าน “ในดีก็ย่อมมีเสีย”การที่ใช้นโยบายการเงิน ด้วยการลดดอกเบี้ยเพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าย่อมมีคนได้และมีคนเสีย คนได้คือคนกู้เงินมาลงทุน คนกู้เงินมาซื้อบ้าน ส่วนคนที่เสียที่ต้องรับภาระมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา คือ คนฝากเงิน ส่วนใหญ่เป็นพวกข้าราชการ คนทำงานที่เกษียณอายุ หวังว่าจะฝากเงินไว้กินดอกเบี้ยยามเฒ่ายามแก่ และคนชั้นกลางคนหนุ่มคนสาวที่สร้างเนื้อสร้างตัวฝากเงินไว้สำหรับอนาคต คนพวกนี้น่าเห็นใจที่ต้องเป็นผู้เสียสละต้องแบกรับภาระมาตลอด
แม้จะต้องมีคนกลุ่มหนึ่งจะต้องเจ็บปวดก็ตามแต่เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศเดินต่อไป กนง.ก็คงต้องเลือกวิธีนี้นี้ คงมองว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ ต้องเจออุปสรรคหลายด้าน จึงต้องมีมาตรการพยุงเศรษฐกิจเพื่อให้ขับเคลื่อนต่อไปได้
แต่อย่าลืมว่า การกระตุ้นการจับจ่าย ด้วยนโยบายผ่อนคลายการเงินลักษณะนี้หากไม่ดูแลอย่างใกล้ชิด สิ่งที่จะตามมาคืออัตราเงินเฟ้อจะขยับสูงขึ้น ส่งผลค่าครองชีพ ราคาสินค้า และบริการ อาจจะขยับขึ้นได้ จะกลายเป็นดาบ 2 คมได้เช่นกัน
ถึงเวลานั้นอาจจะมีนโยบายเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อชะลอการจับจ่ายก็เป็นได้
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก