ห้องเม่าปีกเหล็ก

จัดพอร์ต “ทยอยลงทุน”.. ‘COVID-19’!!!

โดย Edrink
เผยแพร่ :
64 views

จัดพอร์ต “ทยอยลงทุน”...เพื่อการเติบโตระยะยาวหลัง ‘COVID-19’!!!

แม้ว่าสถานการณ์การระบาดของ ‘ไวรัส COVID-19’ ในประเทศที่ตัวเลขติดเชื้อจะเริ่มสงบ แต่สถานการณ์ในต่างประเทศยังคงไม่สู้ดีนัก โดยล่าสุดตัวเลขผู้ติดเชื่อทั่วโลกแตะ 4.24 ล้านคน มีคนตาย 2.87 แสนคน

 

กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สะดุดลงกดดันให้ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกยังคงชะลอตัว

 

นั่นทำให้ในมุมมองนักลงทุน ยังคงมีความกังวลไม่น้อยในตลาดทุนที่จะมีทิศทางออกมาเป็นเช่นไร ซึ่งในวันนี้ทาง ‘Wealthy Thai’ ได้นำมุมมองของ “วนา พูลผล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด มาแชร์ให้ฟังกัน

 

ไตรมาส 2/63 จะเป็นจุดสูงสุดของ COVID-19

 

เราประเมินว่าการแพร่ระบาดของไวรัสจะทำ ‘จุดสูงสุด’ ในช่วงครึ่งแรกของไตรมาส 2 ก่อนที่สถานการณ์จะดีขึ้นตามลำดับ เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่ออกมาตรการปิดเมืองเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลให้โอกาสการติดเชื้อลดน้อยลง

 

ในเดือนพ.ค.และ มิ.ย. บางประเทศจะเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เพื่อจำกัดผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เริ่มต้นจากธุรกิจที่มีความเสี่ยงการแพร่กระจายของไวรัสในระดับต่ำก่อน

“ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในทุกประเทศ คือ ‘การเกิดระบาดรอบที่ 2 (second wave)’ โดยประเทศจีนที่กลับมาเปิดตามปกติแล้ว ยังมีอัตราการติดเชื้อใหม่ทีทรงตัวอยู่ในระดับต่ำมาก อย่างไรก็ตามสหรัฐฯ และยุโรปมีโอกาสเกิด second wave ที่สูงกว่า จากจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันยังทรงตัวในระดับสูง หากเกิดการระบาดรอบที่2 จะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเกิดขึ้นได้ช้ากว่าคาดมาก ขณะที่ตลาดการลงทุนจะมีความผันผวนและคาดการณ์ได้ยาก”

 

สำหรับประเทศไทย ยอดการติดเชื้อใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นภาพเชิงบวก ทำให้รัฐบาลรวมถึงกทม.มีแผนที่จะผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. นี้เป็นต้นไป

 

“เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวอย่างรุนแรงในไตรมาส 1 และ 2 ก่อนฟื้นตัวในลักษณะ U ตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป โดยเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวสู่ระดับเทียบเท่าปี 2019 ได้ประมาณกลางปี 2021 (UOBAMSG as of 23 Apr 2020)”

 

ผลกระทบต่อภาวะตลาดทุน

 

การระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตรรัฐบาล, หุ้นกู้, หุ้น, กองทุนอสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึงสินค้าโภคภัณฑ์ โดยราคาสินทรัพย์ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก

 

มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของทุกกองทุนทุกประเภท ที่อยู่ภายใต้การจัดการของบริษัทจัดการของอุตสาหกรรมลดน้อยลงจากการ mark-to-market สินทรัพย์ในพอร์ตกองทุนรวม และการลดน้ำหนักการลงทุนของลูกค้าทำให้ AUM ของทั้งอุตสาหกรรมในปี 20 (MF+PF+PVD) ลดลงประมาณ -11.7% หรือประมาณ 9.07 แสนล้านบาท (ณ 31 มี.ค. 20)

 

“ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ นักลงทุนกังวลเรื่องผลประกอบการจะออกมาย่ำแย่ รวมถึงการผิดชำระหนี้จะเพิ่มมากขึ้น จึงลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงลง”

ในเดือนมีนาคมมีเงินไหลออกจาก ‘กองทุนตราสารหนี้’ ที่ไม่ใช่ Money Market ประมาณ 1.84 แสนล้านบาท ‘กองทุนตราสารทุน’ เงินไหลออก 2.7 หมื่นล้านบาท ‘กองทุนผสม’ มีเงินไหลออก 2.7 หมื่นล้านบาท ขณะที่ ‘กองทุน Money Market’ มีเงินไหลเข้าเพียง 1 แสนล้านบาท (ไม่รวม Term Fund และการปิดกองทุนของ TMBAM 4 กองทุน)

 

ในภาพรวม ‘กองทุนรวม’ มีเงินไหลออกจากระบบประมาณ 1.35 แสนล้านบาทในเดือนมีนาคม แต่ภาพ YTD ยังเป็นเงินไหลเข้าประมาณ 9 พันล้านบาท (ไม่รวม Term Fund และการปิดกองทุนของ TMBAM 4 กองทุน)

 

“ตลาดตราสารหนี้” ในหลายประเทศเผชิญกับปัญหาสภาพคล่องไม่เพียงพอ เนื่องจากนักลงทุนต้องการลดความเสี่ยงด้าน Credit จึงมีการขายหุ้นกู้ออกมาเป็นจำนวนมาก ภาคเอกชนที่ต้องการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ในช่วงนี้ไม่สามารถทำได้ หรือต้องมีต้นทุนดอกเบี้ยในระดับสูงกว่าปกติมาก บริษัทที่มีอันดับความน่าเชื่อถือที่ไม่จูงใจอาจไม่สามารถ roll-over ตราสารหนี้ของตนเองได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการผิดชำระหนี้ในอนาคต

 

ลงทุนอย่างไรในช่วง ‘วิกฤติ COVID-19’

 

การเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ที่รวดเร็ว อาจทำให้นักลงทุนจำนวนมากตั้งตัวไม่ทัน (โดยเฉพาะนักลงทุนรุ่นใหม่ที่อาจไม่เคยผ่านวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2008 มาก่อน) ซึ่งนักลงทุนบางกลุ่มอาจไม่สบายใจกับการขาดทุนที่ค่อนข้างลึก และมีมุมมองเชิงลบต่อการลงทุนในระยะยาวได้

 

“รวมไปถึงนักลงทุนบางกลุ่มอาจต้องการตัดขาดทุนในช่วงที่ตลาดปรับตัวลงไปแรง ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนกลุ่มนี้พลาดโอกาสในช่วงที่ตลาดฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้”

 

คำแนะนำและมุมมองการลงทุนใน ‘กองทุนตราสารหนี้' เนื่องจากนักลงทุนบางกลุ่มมองว่าตราสารหนี้เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและไม่ควรมีการขาดทุน เราจึงทำความเข้าใจกับนักลงทุนถึงสาเหตุของการปรับตัวลงของ NAV และให้คำแนะนำการจัดพอร์ตการลงทุนตราสารหนี้ที่เหมาะสม

           

“แนะนำให้ทำการจัดพอร์ตการลงทุนตามระดับความเสี่ยงของนักลงทุน การทำ ‘portfolio rebalancing’ โดยเน้นการสร้างผลตอบแทนการลงทุนใน ‘ระยะยาว’ ในภาวะที่สินทรัพย์ต่างๆ ปรับตัวลงมามากกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็น ถือเป็นโอกาสในการทยอยสะสมเพื่อโอกาสการเติบโตระยะยาว เมื่อผ่านสถานการณ์ในปัจจุบันไปแล้ว เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวทำให้ราคาสินทรัพย์ต่างๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน

         

ในมุมมองของ “บลจ.ยูโอบี” เชื่อว่า ในทุก ‘วิกฤติ’ ย่อมมี ‘โอกาส’ แฝงตัวอยู่เสมอ จังหวะนี้ถือเป็นจังหวะที่ดีในการทบทวนพอร์ตการลงทุนของตัวเองอีกครั้งและปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเอง ตอบโจทย์ในระยะยาว มองความผันผวนระยะสั้นเป็นจังหวะในการ ‘ทยอยสะสม’ เป็นการลงทุนอย่างมี ‘สติ’ นั่นเอง

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


Edrink