"เปิดโผหุ้น 12 กลุ่ม แนวโน้มกำไร Q3/60 โต"
ในงานนักวิเคราะห์พบสื่อ ประจำไตรมาส 3 จัดขึ้นวันนี้ เรารวบรวมกลุ่มที่คาดว่ากำไรจะเติบโตมาฝากกัน...ยาวหน่อย แต่ดี
ฝ่ายวิจัย ASPS มองไตรมาส 3/2560 ปัจจัยเสี่ยงที่มีน้ำหนักต่อการลงทุนมาจากภายนอก ทั้งการเมืองยุโรป และการที่ธนาคารกลางสำคัญๆ ของโลก อาจใช้นโยบายการเงินตึงตัวตามสหรัฐฯ
ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศเป็นบวก โดยเฉพาะการลงทุนของภาครัฐและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) จะฟื้นตัวดีขึ้นจากไตรมาส 2 และบางกลุ่มดีต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 4 ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนจึงเป็น Selective เน้น Domestic Play Theme โดยประเมินSET Index ไตรมาส 3 เคลื่อนไหวในกรอบ 1,560-1,595 จุด
ปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อการลงทุนในไตรมาส 3 เป็นปัจจัยภายนอก เศรษฐกิจโลกปี 2560 มีแนวโน้มดีขึ้นจากปี 2559 เป็นการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปของประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนา
โดย IMF ประเมิน GDP Growth โลกปีนี้ไว้ที่ 3.5% yoy จาก 3.1% เมื่อปีที่แล้ว สิ่งที่ต้องจับตาดู คือ ธนาคารกลางสำคัญ ๆ ของโลก เช่น ยุโรปและอังกฤษ จะใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวตามสหรัฐฯ หรือไม่ ซึ่งเชื่อว่าหากยุโรป และอังกฤษจะปรับขึ้นดอกเบี้ย ก็น่าจะเห็นในปี 2561
ไตรมาส 3 นี้ การเมืองในยุโรปยังถือเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะผ่อนคลายลง หลังเลือกตั้งฝรั่งเศสเป็นไปตามคาด แต่ยังมีเลือกตั้งในอิตาลีช่วงปลายเดือน ก.ย. ซึ่งมีความเสี่ยงที่อาจถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป(Italexit) ตามอังกฤษ อาจกระทบต่อการฟื้นตัวของยุโรป เนื่องจากอิตาลีมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของยุโรป
สำหรับปัจจัยบวกต่อการลงทุน มาจากภายในประเทศ จากการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลัง หลักๆ มาจากกาลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่จะเห็นการเปิดประมูลตามแผนเร่งด่วนของกระทรวงคมนาคม มูลค่า 8.62 แสนล้านบาท น่าจะดึงดูดการลงทุนภาคเอกชน ขณะที่ภาครัฐส่งเสริมการลงทุน และให้สิทธิลดหย่อนภาษี โดยเฉพาะพื้นที่ EEC จะทำให้เอกชนและต่างชาติกลับมาลงทุนอีกครั้ง ในครึ่งหลังของปีนี้
ด้านการส่งออก คาดว่าปีนี้จะดีขึ้นจากปีที่แล้ว ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้า ขณะที่การบริโภคภาคครัวเรือนจะขยายตัวไม่มาก การระดมเงินเพื่อลงทุนในสาธารณูปโภคผ่านโครงการ Thailand Future Fund (TFF) ที่เห็นความคืบหน้าชัดเจน จะช่วยหนุนหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก โดยรวมแล้ว ASPS ยังคงคาด GDP Growth ปี 2560 ที่ 3.5%
ส่วนแนวโน้มกำไรของบจ. แม้ในไตรมาส 2 กำไรจะลดลงจากไตรมาส 1 ที่ทำได้ 2.85 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 28% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2560 เพราะเป็น Low Season มีวันหยุดยาวหลายช่วง และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดย เฉพาะน้ำมันและเหล็กปรับตัวลง ทำให้มีความเสี่ยงเกิด Stock Loss ขณะที่การบันทึกรายการพิเศษ ราว 2 หมื่นล้านบาท ที่เกิดขึ้นในไตรมาส 1 ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกในไตรมาส 2
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ากำไรของบจ.จะกลับมาฟื้นตัวได้ช่วงครึ่งปีหลัง ด้วยปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ASPS จึงประเมินว่า SET Index ในไตรมาส 3 ปีนี้ น่าจะแกว่งตัวในกรอบ 1,560-1595 จุด
กลุ่มที่คาดว่าผลประกอบการจะกลับมาเติบโตโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ผลการดำเนินงานของกลุ่มแบงก์ช่วงครึ่งปีหลัง(สัดส่วน 52-53% ของกำไรสุทธิรวมทั้งปี 2560) จะดีขึ้นจากครึ่งปีแรก โดยไตรมาส 3 เชื่อว่าจะขึ้นทำจุดสูงสุดของปี เพราะเริ่มเห็นการเติบโตของรายได้จากธุรกิจหลัก ไม่ว่าจะเป็นรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิ และส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ(NIM) ที่เริ่มทรงตัวได้ และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย โดยเฉพาะรายได้ค่าธรรมเนียมฯ ที่เติบโตสูงขึ้นสอดคล้องกับทิศทางสินเชื่อ ส่วนการตั้งสำรองหนี้ฯ จะเริ่มลดระดับลง เนื่องจากส่วนใหญ่ได้กันสำรองไปมากแล้วในช่วงครึ่งปีแรก เลือกหุ้น SCB, KKP, TCAP เป็น Top Picks
กลุ่มลีสซิ่ง ทิศทางกำไรครึ่งปีหลัง จะดีขึ้นจากครึ่งปีแรก ซึ่งเป็นปกติของทุกปี ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 3 จะเติบโตจากไตรมาส 2 (ซึ่งเป็นช่วงต่ำสุดของปี) มีแรงหนุนจากการเติบโตของสินเชื่อสุทธิ และแนวโน้ม spread ที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ด้านคุณภาพสินทรัพย์ คาดว่า NPL เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของสินเชื่อใหม่ๆ ซึ่งไม่น่ากังวล ส่วนการตั้งสำรองหนี้ฯ ยังเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับสินเชื่อ โดยอาจเห็นการทยอยตั้งสำรองหนี้ฯเพิ่มขึ้นในบางบริษัท เพื่อรองรับมาตรฐานบัญชีTFRS 9 ซึ่งจะเริ่มใช้ในปี 2562
กลุ่มเกษตร-อาหาร กำไรจากการดำเนินงานไตรมาส 3 จะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 2 และทำระดับสูงสุดของปี 2560 เนื่องจากเป็นช่วง high season ของการส่งออกอาหาร ทำให้การส่งออกไก่ กุ้ง และทูน่า เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 และยังคาดว่าราคาไก่และสุกร จะทรงตัวสูงต่อเนื่องที่ 40 บาท/ก.ก. และ 62 บาท/ก.ก.ตามลำดับ นอกจากนี้ยังเป็นช่วงฤดูกาลเลี้ยงกุ้ง หนุนปริมาณขายลูกกุ้งและอาหารกุ้งเพิ่มขึ้น หุ้นเด่นของกลุ่มเลือก CPF
กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คาดกำไรจากการดำเนินงานไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 11.0% qoq และ 16.0% yoy มาที่ 3.3 พันล้านบาท เป็นระดับสูงสุดของปี เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลส่งออกชิ้นส่วนฯ รวมถึงลูกค้ามีการสต็อกสินค้ามากขึ้น จากความคาดหวังเชิงบวกต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ หนุนคำสั่งซื้อจากลูกค้าต่างประเทศ แต่คาดกำไรจากการดำเนินงานไตรมาส 4 จะอ่อนตัวลง 10.8% qoq และ 5.3% yoy เหลือ 2.9 พันล้านบาท หลังพ้นช่วง high season เลือก HANA เป็นหุ้น top picks
กลุ่มค้าปลีก ไตรมาส 3 และ 4 จะเห็นการเติบโตจากปีก่อน โดยได้แรงหนุนจากกำลังซื้อผู้บริโภคดีขึ้น สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) ที่เป็นดัชนีชี้นำยอดขายสาขาเดิม ยังมีแนวโน้มเป็นบวก และรับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลงทุนภาครัฐฯ เช่น โครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยราว 8 หมื่นล้านบาท (เบิกจ่ายเดือน ต.ค. 2560) และโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน กำไรกลุ่มค้าปลีกทั้งปีนี้ คาดเติบโต 19% (ไม่รวมผลบวกจากการรวมงบ BIGC และ BJC) สูงกว่ากำไรตลาดที่เติบโต 7% เลือก HMPRO เป็น Top Picks
กลุ่มยานยนต์ ผลการดำเนินการกลุ่มนี้ ผ่านจุดต่ำสุดของปีไปแล้วในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา และจะเห็นการฟื้นตัวของยอดผลิตรถยนต์ในครึ่งปีหลัง จากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลส่งออกในไตรมาส 3 และฤดูกาลขายรถยนต์ในประเทศ ได้อานิสงค์จากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ และจัดงาน Motor Expo ในไตรมาส 4 ซึ่งจะผลักดันให้ผลประกอบการของกลุ่มนี้ในครึ่งปีหลังเติบโตดีขึ้นจากครึ่งปีแรก ทั้งปี 60 คาดกำไรปกติเติบโต 16% yoy กลยุทธ์การลงทุนเน้นแบบ Selective Buy หุ้นที่ยังมี upside ได้แก่ AH และ IRC
กลุ่มโรงแรม ผลประกอบการจะสอดคล้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย โดยไตรมาส 2 เป็นจุดต่ำสุดของปี จากการเข้าสู่ Low Season แต่จะฟื้นตัวเล็กน้อยในไตรมาส 3 ก่อนจะโดดเด่นในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วง High Season และต่อเนื่องไปถึงไตรมาสแรกปี 2561 ซึ่งเป็นช่วง Peak Season ของท่องเที่ยว หุ้นเด่นกลุ่มนี้เลือกที่เติบโตเหนือกลุ่ม ที่ระดับ 14% ได้แก่ MINT และ ERW
กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ น่าจะปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 จนถึงไตรมาส 4 โดยธุรกรรมการขยายได้แรงหนุนจากการเปิดตัวโครงการใหม่เชิงรุกมากขึ้น ช่วยหนุนยอด presale เช่นเดียวกับธุรกรรมการโอน จะทยอยบันทึกรายได้ตามกำหนดการโอน โดยโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ เริ่มโอนตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป ประเมินว่าผลประกอบการไตรมาส 3 และ 4 จะเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ เนื่องจากโครงการคอนโดฯส่วนใหญ่สร้างเสร็จ และส่งมอบในช่วงดังกล่าว ทั้งปี 2560 ประเมินรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 11% yoy อยู่ที่ 2.64 แสนล้านบาท (ปัจจุบันมี Backlog รองรับรายได้ 51%) ขณะที่กำไรปกติคาดไว้ 4.08 หมื่นล้านบาท เติบโต 17.5% หุ้นเด่นของกลุ่ม คือ LH และ SPALI
กลุ่มโรงพยาบาล กำไรกลุ่มการแพทย์ในครึ่งปีหลัง จะกลับมาเติบโตได้ดีอีกครั้ง จากการปรับเพิ่มเงินสบทบจากสำนักงานประกันกันสังคม ที่มีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2560 และสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เห็นได้จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงการขยายเวลาวีซ่าผู้ป่วยจาก CLMV และจีน ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยจากต่างชาติเข้ามารักษาตัวในไทยมากขึ้น หุ้น Top Pick เลือก LPH เด่นสุด
กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ไตรมาส 3 ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญสู่การเติบโตรอบใหม่ จากโครงการภาครัฐจำนวนมากที่ทยอยเปิดประมูล โดยเฉพาะรถไฟทางคู่เฟสแรก 5 เส้นทาง มูลค่ารวม 9.7 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะได้ผู้รับเหมาครบทุกเส้นทางภายใน ก.ย. นี้ รวมถึงโครงการขนาดใหญ่อื่นๆ ตามแผนปฏิบัติการเร่งด่วนด้านคมนาคมขนส่งปี 2559-2560 ที่ยังมีงานรอประมูลอีกกว่า 1.6 ล้านล้านบาท เช่น รถไฟฟ้า 8 สาย รวมมูลค่า 3.8 แสนล้านบาท, รถไฟทางคู่เฟส 2 มูลค่ารวม 4 แสนล้านบาท และรถไฟความเร็วสูง 4 เส้นทาง มูลค่า 6.5 แสนล้านบาท ที่จะมีความชัดเจนขึ้นตามลำดับ ช่วยสร้างกระแสเชิงบวกให้กลุ่มรับเหมาต่อเนื่องไปจนถึงปี 2561 ซึ่งเป็นปีที่จะเห็นการเติบโตชัดเจนเป็นต้นไป หุ้นเด่นกลุ่มนี้ เลือก UNIQ
กลุ่มเหล็ก ผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มเหล็กไตรมาส 3 มีแนวโน้มฟื้นตัว จากฐานที่ต่ำ เนื่องจากไตรมาส 2 ได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากการปรับฐานของราคาเหล็กตามทิศทางราคาเหล็กโลก ทำให้ Metal Spread ของผู้ผลิตเหล็กส่วนใหญ่แคบลง สร้างแรงกดดันต่อ Gross Margin ทำได้น้อยกว่าปกติ แต่ราคาเหล็กช่วงปลายเดือนพ.ค.-มิ.ย. 2560 เริ่มฟื้นตัวได้เล็กน้อย จากปัญหา Overcapacity ที่ได้รับการแก้ไขอย่างต่อเนื่องจากจีน ฝ่ายวิจัยมองว่าราคาเหล็กผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะมีเสถียรภาพมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เลือก MCS เป็นหุ้นเด่น
กลุ่มพลังงานทดแทน ผลประกอบการในไตรมาส 3 และช่วงที่เหลือของปี จะได้รับผลบวกจากการปรับขึ้นค่า Ft ในงวดใหม่เดือนพ.ค.-ส.ค. อีก 12.52 สตางค์ต่อหน่วย มาที่ -24.77 สตางค์ต่อหน่วย รวมถึงได้รับปัจจัยบวกจากลมมรสุมในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ภาครัฐยังคงเดินหน้าตามแผนการเปิดประมูล เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบต่างๆ โดยคาดโครงการ SPP Hybrid Firm จำนวน 300 เมกะวัตต์ และโครงการ VSPP Semi-Firm จำนวน 289 เมกะวัตต์ จะประมูลช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งฝ่ายวิจัยยังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการของกลุ่มนี้ หุ้นเด่นเลือก BCPG และ GUNKUL
ขอบคุณแหล่งข้อมูล : บล. เอเชีย พลัส