ปิดฉาก! ‘เนสท์เล่ - มหากิจศิริ’ จากมิตรสู่คู่พิพาท ‘เนสกาแฟ’
เนสท์เล่ เจ้าของแบรนด์โลก "เนสกาแฟ" อายุ 96 ปี เสิร์ฟคนไทย 52 ปี กำลังเผชิญวิบากกรรม หลัง "มหากิจศิริ" อดีตหุ้นส่วนธุรกิจฟ้องศาล นำไปสู่คำสั่งห้ามผลิต ว่าจ้างผลิต นำเข้า และขายเนสกาแฟในประเทศไทย

จากกรณีข้อพิพาทระหว่าง “เนสท์เล่”(Nestlé) บริษัทอาหาร และเครื่องดื่มที่ใหญ่สุดในโลก กับ “ตระกูลมหากิจศิริ” ที่ฝ่ายหนึ่งได้มีการ “แจ้งยุติสัญญา” ที่ให้สิทธิ บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด(QCP) ในการผลิต "เนสกาแฟ"ในปี พ.ศ. 2564
ทั้งนี้ การยุติสัญญามีผลสมบูรณ์ทางกฎหมายโดยคำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการสากล โดยมีผลเป็นการเลิกสัญญาตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2567
ทว่า หลังจากนั้น นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นในบริษัท QCP ได้ฟ้องร้องต่อศาลแพ่งมีนบุรีเพื่อให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว และศาลแพ่งมีนบุรี ได้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว “ห้ามมิให้เนสท์เล่ ผลิตว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปโดยใช้เครื่องหมายการค้า Nescafé” ในประเทศไทย
Nescafé แบรนด์โลกเกิดเพื่อแก้ผลผลิตกาแฟในบราซิล
เนสท์เล่ เป็นยักษ์ใหญ่อาหาร และเครื่องดื่มโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีแบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอกว่า 2,000 แบรนด์ และสินค้าตลาดกว่า 180 ประเทศทั่วโลก
ระดับโลก เนสท์เล่ ทำธุรกิจกว่า 150 ปี ส่วน “ไทย” ยาวนานไม่แพ้กัน เพราะเป็นองค์กรร้อยปี ด้วยตำนานกว่า 130 ปี
หนึ่งในแบรนด์ใหญ่ของเนสท์เล่ คือ “Nescafé” หรือ เนสกาแฟ เรื่องราวของแบรนด์ เกิดขึ้นเมื่อปี 1929 หรือ 96 ปีก่อน เมื่อ Louis Dapples ประธานคณะกรรมการบริหารของเนสท์เล่ ได้รับคำขอพิเศษจากประเทศบราซิล ให้หาวิธีรับมือกับกาแฟจำนวนมหาศาลในประเทศ โดยเสนอให้เนสท์เล่คิดค้นผลิตภัณฑ์กาแฟที่สามารถชงดื่มได้รวดเร็ว
กาแฟแท็บเล็ตทรงลูกบาศก์ ที่เพียงมีน้ำร้อน ก็ชงกาแฟได้ทันที แต่ไม่สามารถรักษารสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ได้ จึงไม่สามารถใช้ได้จริง ต้องคิดใหม่ กระทั่งการวิจัยพัฒนาอย่างยาวนาน 7 ปี จนนำไปสู่การ “เปิดตัวกาแฟผงสำเร็จรูป” ในสวิตเซอร์แลนด์ กับแบรนด์ “NESCAFÉ®” ในปี 1938 และขายหมดภายในเวลาเพียง 2 เดือน
เนสท์เล่-มหากิจศิริ พันธมิตรผลิต “เนสกาแฟ” 3 ทศวรรษในไทย
“เนสท์เล่” นำผลิตภัณฑ์กาแฟปรุงสำเร็จแบรนด์ “เนสกาแฟ” เข้ามาทำตลาดในไทยเป็นเวลา 52 ปีแล้ว และสร้างการรับรู้แบรนด์คู่กับ “เรดคัพ” หรือเนสกาแฟในแก้วสีแดงพร้อมอัตลักษณ์ความหอมกรุ่นเจาะผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย การทำตลาดต่อเนื่อง ยังทำให้เนสกาแฟเป็นแบรนด์กาแฟอันดับ 1 ในประเทศไทย
ขณะที่ความสัมพันธ์ หรือพันธมิตรธุรกิจของ “เนสท์เล่” กับตระกูล “มหากิจศิริ” เกิดขึ้นเมื่อปี 2533 เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายได้ร่วมหัวจมท้ายดำเนินธุรกิจผลิตกาแฟ “เนสกาแฟ” ในประเทศไทย ผ่าน บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด(QCP) ซึ่งเนสท์เล่ ถือหุ้น 50% และมหากิจศิริถือหุ้น 50% โดยมี “ประยุทธ มหากิจศิริ” เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น
ล่าสุด ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส มีผู้ถือหุ้นอันดับ 1 คือ “เฉลิมชัย มหากิจศิริ” ถือหุ้นใน 41.80% ผู้ถือหุ้นอันดับ 2 คือ เนสท์เล่ เอส.เอ สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ ถือหุ้น 30.00%
เมื่อเนสท์เล่ ได้แจ้งยุติสัญญาที่ให้สิทธิ บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด ในการผลิตเนสกาแฟในปี พ.ศ.2564 รวมถึงมีการร้องต่อกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศ “ศาลอนุญาโตตุลาการสากล” ในการระงับข้อพิพาท ซึ่งคำตัดสินทำให้การยุติสัญญามีผลสมบูรณ์ทางกฎหมาย โดยการเลิกสัญญามีผลตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2567
หลังจากนั้นช่วงเดือนมีนาคม ถึงเมษายน ปี พ.ศ.2568 “เฉลิมชัย มหากิจศิริ” ได้ฟ้องร้องต่อศาลแพ่งมีนบุรีเพื่อดำเนินคดีแพ่งกับบริษัทในเครือเนสท์เล่ และกรรมการ จำนวน 2 คดี
วันที่ 3 เมษายน พ.ศ.2568 ศาลแพ่งมีนบุรี ได้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว “ห้ามมิให้เนสท์เล่” ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เนสกาแฟแต่เพียงผู้เดียว
ดำเนินการผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูป โดยใช้เครื่องหมายการค้า Nescafé ในประเทศไทย
ปิดฉากการเป็น “พันธมิตร” และยังแปรเปลี่ยนเป็น “คู่ขัดแย้งทางธุรกิจ” มีคดีความ
ประยุทธ มหากิจศิริ เจ้าพ่อเนสกาแฟ
จากปี 2533-2567 คือ ความสัมพันธ์ของ เนสท์เล่ และ “มหากิจศิริ” ยิ่งกว่านั้น ตลอดเส้นทางธุรกิจของเนสกาแฟในประเทศไทย ภายใต้ ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส ทำให้ชื่อของ “ประยุทธ มหากิจศิริ” กลายเป็น “เจ้าพ่อเนสกาแฟ” กลบชื่อ “เนสท์เล่” เจ้าของแบรนด์ตัวจริง
สำหรับความมั่งคั่งของ ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุรายได้ของ ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส ดังนี้
-ปี 2565 มีรายได้รวมกว่า 1.71 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.28% “กำไรสุทธิ” กว่า 3,067 ล้านบาท ลดลง 9.84%
-ปี 2565 มีรายได้กว่า 1.71 หมื่นล้านบาท เติบโต 10.69% มี “กำไรสุทธิ” กว่า 3,400 ล้านบาท ลดลง 8.14%
-ปี 2564 มีรายได้กว่า 1.54 หมื่นล้านบาท ลดลง 2% มี “กำไรสุทธิ” กว่า 3,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.58%
สำหรับตลาดกาแฟในประเทศไทยเป็นอีกหมวดที่ใหญ่ โดยภาพรวมตลาดกาแฟทุกประเภท ประเมินตัวเลขระดับ 6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นตลาดกาแฟในบ้านราว 3.3 หมื่นล้านบาท(กาแฟปรุงสำเร็จ ทรีอินวัน) และตลาดกาแฟนอกบ้าน 2.7 หมื่นล้านบาท( Euromonitor) แยกย่อยตลาดกาแฟพร้อมดื่มมูลค่า 2.4 หมื่นล้านบาท (ปี 2566 : Tetra Pak Compass) คนไทยบริโภคกาแฟเฉลี่ย 340 แก้วต่อคนต่อปี (ที่มา : เนสท์เล่) กาแฟสดกว่า 5,000 ล้านบาท เป็นต้น โดยตลาดกาแฟในบ้าน และกาแฟพร้อมดื่ม เป็นสิ่งที่ "เนสกาแฟ" ของเนสท์เล่ กำลังเผชิญวิบากกรรม!
เนื้อหาข้อมูลข่าวจาก https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1175436