คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก นัดกลุ่มธนโฮลดิ้ง เปิดซอง 3 ซึ่งเป็นซองข้อเสนอด้านราคาในวันพรุ่งนี้ (17 ม.ค. 2563) โดยเรียกผู้เข้าร่วมประมูลอีกสองรายคือ กลุ่มบีบีเอส และกลุ่มแกรนด์คอนซอร์เตียม ซึ่งเปิดซองไปก่อนหน้านี้แล้วเข้าร่วมด้วย เพื่อความโปร่งใสและเป็นธรรมต่อผู้ยื่นข้อเสนอทุกราย
โครงการเมืองการบินอู่ตะเภานี้ เป็นการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน หรือ พีพีพี มูลค่าโครงการประมาณ 2.9 แสนล้านบาท ซึ่งรัฐจะร่วมลงทุนประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท และเอกชนลงทุนประมาณ 2.7 แสนล้านบาท โดยรัฐต้องการผลตอบแทนขั้นต่ำ 5.9 หมื่นล้านบาท
หลังจากการเปิดซองเสนอราคาของผู้เข้าประมูลสองรายแรกไปแล้ว ก็มีกระแสข่าวตามติดออกมาว่า กลุ่มบีบีเอส ซึ่งประกอบด้วย บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซิโน-ไทย จำกัด (มหาชน) มาวิน เพราะเสนอผลตอบแทนให้รัฐสูงถึง 3.05 แสนล้านบาท ซึ่งเกินจากที่รัฐขอไปถึง 2.46 แสนล้านบาท
ส่วนกลุ่มแกรนด์ฯ ซึ่งประกอบด้วย บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด เสนอผลตอบแทนให้รัฐ 1.2 แสนล้านบาท เกินจากที่รัฐขอประมาณ 6 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวระบุว่ากลุ่มธนโฮลดิ้ง ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ธนโฮลดิ้ง จำกัด บริษัท Orient Success International Limited บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ช.การช่าง จํากัด (มหาชน) และบริษัท บี.กริม จอยน์ เว็นเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด เสนอผลตอบแทนให้รัฐถึง 3.51 แสนล้านบาท เกินกว่าที่รัฐขอมากถึง 2.92 แสนล้านบาท
ไม่รู้ว่าตัวเลขที่ถูกปล่อยออกมานั้น เป็นตัวเลขจริงหรือตัวเลขลวง แต่ถ้าสมมุติว่าจริง ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก โดยเฉพาะของกลุ่มบีบีเอสและกลุ่มธนโฮลดิ้ง ซึ่งมีการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของราคาที่เสนอมานั้นว่าจะทำได้จริงหรือ โดยคำนวณรายได้จากตัวเลขประมาณการผู้โดยสารที่ต้องได้ ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้ว ตัวเลขประมาณการผู้โดยสารและรายได้ที่จะให้กับรัฐ ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด คือ ของกลุ่มแกรนด์คอนซอร์เตียม ที่จะต้องมีผู้โดยสารในห้าปีแรก 5 ล้านคนต่อปี และเพิ่มขึ้นถึง 60 ล้านคนต่อปีในปีที่ 50 โดยเสนอรายได้ให้รัฐ มากกว่าที่รัฐขอเท่าตัว
ส่วนข้อเสนอของอีกสองรายนั้น เรียกว่าต้องหาผู้โดยสารกันหืดขึ้นคอทีเดียว เพื่อให้มีรายได้มานำส่งรัฐตามที่เสนอไว้สูงปรี๊ด โดยต้องให้ได้ผู้โดยสารในห้าปีแรก 20-25 ล้านคนต่อปี และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนได้ผู้โดยสารในปีที่ 50 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของสัญญาถึง 200-250 ล้านคนต่อปี แถมไว้นิดหนึ่งว่าหากเป็นกลุ่มธนโฮลดิ้ง อาจจะได้มาง่ายกว่าหน่อยเดียว เนื่องจากมีผู้โดยสารของรถไฟเชื่อมสนามบินอยู่แล้วส่วนหนึ่ง ที่จะทำการตลาดเพื่อให้มาเชื่อมโยงกันได้ แต่ถ้าเป็นของกลุ่มบีบีเอส ก็ต้องทำการบ้านกันสาหัสขึ้นไปอีก
ไม่รู้ว่าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงได้มีการเสนอตัวเลขผลตอบแทนสูงขนาดนั้น ถึงกว่า 3 แสนล้านบาท หรือจะมีดีลอะไรพิเศษเกินคาดหมาย แต่ไม่ว่าใครจะเสนอราคาแค่ไหนก็ตาม คณะกรรมการฯ จะพิจารณาแค่ราคานั้น โดยไม่พิจารณาเงื่อนไขอื่นใดที่จะพ่วงมาด้วย เพราะมีเงื่อนไขสำคัญกำหนดไว้ว่า หากในข้อเสนอด้านราคามีข้อความหรือตีความเป็นเงื่อนไข คณะกรรมการคัดเลือกฯ จะไม่พิจารณาเงื่อนไขดังกล่าว ดังนั้นเอกชนผู้ยื่นข้อเสนอจะต้องระบุเพียงข้อมูลตัวเลขการเงินเท่านั้น
แม้ตัวเลขผลตอบแทนที่เสนอให้รัฐในจำนวนที่สูงเสียดฟ้าเช่นนี้ จะแสดงให้เห็นถึงความต้องการทำโครงการอย่างมากก็ตาม แต่ก็อาจทำให้คณะกรรมการคัดเลือกฯ ต้องคิดให้หนักถึงความเป็นไปได้ ว่าจะทำได้จริงมากน้อยแค่ไหน โดยต้องชั่งน้ำหนักอีกฝั่งให้ดีด้วยว่า หากทำไม่สำเร็จ แล้วโครงการล้ม ใครจะรับผิดชอบ “ค่าโง่” ที่เกิดขึ้น หรือจะเลือกของตายที่เป็นไปได้แน่ ๆ คือข้อเสนอที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด
-----------------------
ข้อมูลจากข่าวสด
หวั่นค่าโง่อู่ตะเภาท้องแล้วทิ้ง