ปาร์ตี้จบแล้ว? 3 สัญญาณอันตรายที่ตลาดหุ้นกำลังบอกเรา แต่คนส่วนใหญ่มองข้าม | Podcast Available
สวัสดีค่ะแฟนเพจทุกท่าน กลับมาพบกันอีกครั้งกับการเจาะลึกประเด็นร้อนในโลกการเงินที่ทุกคนต้องจับตา วันนี้เราจะคุยกันถึงสัญญาณเตือนบางอย่างที่ตลาดส่งออกมาล่าสุด หลังจากที่วิ่งฉิวทำสถิติกันมาอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ดูเหมือนว่าปาร์ตี้อาจจะต้องพักเบรกกันชั่วคราวแล้วล่ะค่ะ

ตลาดหุ้นสะดุด หลังวิ่งร้อนแรงจนน่ากังวล
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทที่เคยคึกคักเป็นพิเศษก็ต้องมาหยุดชะงักลงอย่างเห็นได้ชัดค่ะ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ตลาดดีดเหมือนม้าพยศ ดัชนี S&P 500 พุ่งทะยานขึ้นมาเกือบ 30% นับตั้งแต่จุดต่ำสุดเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา จนเกือบจะทำสถิติสูงสุดใหม่ได้สำเร็จ แต่ล่าสุด การแรลลี่ครั้งประวัติศาสตร์นี้ก็แผ่วลง ดัชนีปิดตลาดแทบไม่เปลี่ยนแปลงนัก เป็นสัญญาณว่าแรงซื้อเริ่มหมด และนักลงทุนเริ่มลังเล
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ตลาดต้องหยุดพักหายใจ มาจากความกังวลว่าตลาดอาจ "ร้อนแรงเกินไป" (Overheated Market) ค่ะ คำนี้หมายถึงภาวะที่ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเร็วและแรงจนเกินปัจจัยพื้นฐาน เหมือนรถที่เหยียบคันเร่งจนเครื่องร้อนจัด
เมื่อ "มูลค่าหุ้น" (Valuations) โดยรวมพุ่งสูงลิ่วจนน่าหวาดเสียว ความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว เพราะราคาที่เห็นอาจไม่ได้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทอีกต่อไป แต่เป็นราคาที่เกิดจากความคาดหวังและอารมณ์ของตลาดล้วนๆ
สถานการณ์แบบนี้ทำให้นักลงทุนสถาบันใหญ่ๆ หลายแห่งเริ่มออกมาเตือนลูกค้าให้เตรียมตัวรับมือกับการ "ปรับฐาน" (Pullback) ในระยะสั้น หรือก็คือการที่ดัชนีจะร่วงลงมาเพื่อหาจุดสมดุลใหม่
นักวิเคราะห์จาก Janney Montgomery Scott เปรียบเทียบไว้อย่างเห็นภาพว่า ตลาดตอนนี้เหมือนกำลังเดินอยู่ใน "หลุมอากาศ" (Air Pockets) ที่อาจเจอความผันผวนรุนแรงจากข่าวต่างๆ (Headline Risk) ได้ทุกเมื่อ ทำให้ตลาดมีความเปราะบางและเสี่ยงต่อการถูกเทขายทำกำไรในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 นี้
แม้ภาพรวมตลาดจะดูนิ่งๆ แต่ถ้ามองลึกลงไปในรายตัวจะเห็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจค่ะ เช่น หุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิปที่ดีดตัวขึ้น แต่ในทางกลับกัน หุ้นใหญ่อย่าง Intel กลับร่วงลง 3% หลังจากถูกประธานาธิบดีทรัมป์กดดัน หรือหุ้นบริษัทยา Eli Lilly ที่ดิ่งลงถึง 14% จากผลการทดลองยาตัวใหม่ที่น่าผิดหวัง ขณะที่หุ้นขวัญใจมหาชนอย่าง Apple ยังคงไปต่อได้ สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่านักลงทุนเริ่มเลือกเก็งกำไรเป็นรายตัวมากขึ้น แทนที่จะซื้อยกแผงเหมือนที่ผ่านมา
ที่สำคัญ ปัจจัยทางสถิติยังเข้ามาซ้ำเติมความกังวลนี้อีกด้วย เพราะในอดีต เดือนสิงหาคมและกันยายนมักจะเป็นสองเดือนที่ตลาดหุ้น S&P 500 ทำผลงานได้ย่ำแย่ที่สุด ซึ่งก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้นักลงทุนต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษค่ะ
สัญญาณจากตลาดพันธบัตรที่ไม่สู้ดี
อีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่เข้ามาซ้ำเติมบรรยากาศการลงทุนคือตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ค่ะ โดยเฉพาะการประมูลพันธบัตรอายุ 30 ปี วงเงิน 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ที่ผลออกมาไม่ค่อยสวยนัก พูดง่ายๆ คือไม่ค่อยมีคนอยากซื้อเท่าที่ควร ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความต้องการในพันธบัตรระยะยาวเริ่มลดลงหลังจากที่ราคาวิ่งขึ้นมาพอสมควร
เมื่อความต้องการซื้อน้อยลง แต่ของมีเท่าเดิม คนขายก็ต้องเสนอผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อจูงใจนักลงทุน สิ่งนี้เองที่ดันให้ "อัตราผลตอบแทนพันธบัตร" (Bond Yield) ดีดตัวสูงขึ้น โดยผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปี ปิดที่ 4.83% ส่วนตัวที่สำคัญอย่างผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 4.25%
หลายคนอาจจะสงสัยว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับหุ้น? ต้องอธิบายแบบนี้ค่ะว่า Bond Yield ที่สูงขึ้นมักจะเป็นสัญญาณลบต่อตลาดหุ้น เพราะมันทำให้นักลงทุนรู้สึกว่าการถือพันธบัตรที่ความเสี่ยงต่ำกว่า เริ่มให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจและคุ้มค่ากว่าการเสี่ยงในตลาดหุ้นนั่นเองค่ะ
เศรษฐกิจส่งสัญญาณชะลอตัว?
นอกจากเรื่องของตลาดแล้ว ข้อมูลเศรษฐกิจเองก็เริ่มส่งสัญญาณบางอย่างที่น่ากังวลและซับซ้อนขึ้นค่ะ
ภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตอนนี้ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนที่เคยเป็นมา โดยมีตัวชี้วัดสำคัญที่น่ากังวลคือ ตัวเลข "ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง" (Continuing Jobless Claims) ซึ่งพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2021 เลยทีเดียว
ตัวเลขนี้สำคัญมากนะคะ เพราะมันไม่ได้นับแค่คนตกงานใหม่ แต่หมายถึงจำนวนคนที่ตกงานไปแล้วและยังคงต้องพึ่งพาสวัสดิการจากรัฐอยู่เพราะยังหางานใหม่ไม่ได้ การที่ตัวเลขนี้สูงขึ้นแปลว่าคนว่างงานนานขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าตลาดแรงงานที่เคยแข็งแกร่งเหมือนหินผาของสหรัฐฯ กำลังเริ่มอ่อนแรงลงอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม เมื่อไปดูผลสำรวจความคาดหวังของผู้บริโภคจากธนาคารกลางรัฐนิวยอร์ก (New York Fed) กลับพบภาพที่ค่อนข้างผสมผสานกันค่ะ ในแง่หนึ่ง ผู้บริโภคเริ่มคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อในระยะสั้นและระยะยาวจะสูงขึ้น แต่ในอีกแง่หนึ่ง พวกเขากลับมองสถานการณ์การเงินของตัวเองในแง่ดีขึ้น และมีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับตลาดงานมากขึ้นด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ดูย้อนแย้งกับตัวเลขการว่างงานที่ออกมา
ทางด้านเจ้าหน้าที่เฟดเองก็มีความเห็นที่แตกต่างกันไปค่ะ โดย ราฟาเอล บอสติก (Raphael Bostic) ประธานเฟดสาขาแอตแลนตา ยังคงมองว่าปีนี้น่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียว และยังย้ำว่าผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษี (Tariffs) อาจจะไม่ได้ทำให้เงินเฟ้อพุ่งขึ้นแค่ชั่วคราวแล้วหายไป แต่อาจส่งผลกระทบยาวนานกว่าที่คิด ซึ่งเป็นมุมมองที่ค่อนข้างระมัดระวัง
ภาพทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังอยู่ในภาวะหัวเลี้ยวหัวต่อที่ค่อนข้างเปราะบางค่ะ คือมีทั้งสัญญาณการชะลอตัวที่ชัดเจนในตลาดแรงงาน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อซ่อนอยู่ ซึ่งทำให้การดำเนินนโยบายการเงินของเฟดในระยะต่อไปทำได้ยากลำบากยิ่งขึ้นไปอีก
เกมการเมืองกับทิศทางนโยบายการเงิน
ท่ามกลางความไม่แน่นอนเหล่านี้ ประเด็นเรื่องนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ "เฟด" (Fed) ก็ยิ่งถูกจับตามองเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังมองหาตัวตายตัวแทนของประธานเฟดคนปัจจุบันอย่างเจอโรม พาวเวลล์ ซึ่งจะหมดวาระในเดือนพฤษภาคม 2026
ชื่อที่โดดเด่นขึ้นมาเป็นตัวเต็งอันดับต้นๆ คือ คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ (Christopher Waller) หนึ่งในคณะกรรมการของเฟดคนปัจจุบัน โดยทีมที่ปรึกษาของทรัมป์ชื่นชมวอลเลอร์ในเรื่องความกล้าที่จะตัดสินใจด้านนโยบายโดยอิงจากการคาดการณ์อนาคต ไม่ต้องรอให้ข้อมูลปัจจุบันยืนยันก่อน และที่สำคัญคือเขามีความเข้าใจในระบบของเฟดอย่างลึกซึ้ง
ในการประชุมเฟดครั้งล่าสุด วอลเลอร์เป็นหนึ่งในสองเสียงที่โหวตสวนมติของคณะกรรมการ โดยเสนอให้ลดอัตราดอกเบี้ยลง เพราะเห็นสัญญาณอ่อนแอของตลาดแรงงานล่วงหน้าก่อนที่ตัวเลขจะออกมาเสียอีก
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้เสนอชื่อ สตีเฟน มิแรน (Stephen Miran) ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ ให้เข้ามาดำรงตำแหน่งคณะกรรมการเฟดอีกหนึ่งที่นั่ง แม้จะเป็นการดำรงตำแหน่งเพียงชั่วคราวจนถึงเดือนมกราคม แต่ก็ชัดเจนว่ามิแรนเป็นผู้ที่สนับสนุนนโยบายดอกเบี้ยต่ำและเคยวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของเฟดในอดีต
การเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ทำให้นักลงทุนมองว่า ทิศทางของเฟดในอนาคตมีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงิน หรือก็คือ "ลดดอกเบี้ย" ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรัมป์ต้องการมาโดยตลอด
เกมการเมืองโลก: สหรัฐฯ-รัสเซีย และการประชุมที่ทั่วโลกจับตา
อีกหนึ่งประเด็นใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดโดยตรง คือเกมการเมืองระหว่างประเทศที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะความพยายามของประธานาธิบดีทรัมป์ที่จะผลักดันให้เกิดการเจรจายุติสงครามในยูเครน ซึ่งดำเนินมาเป็นปีที่ 4 แล้ว
ล่าสุด ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า เขาพร้อมที่จะพบกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แม้ว่านายปูตินจะยังไม่ได้ตกลงที่จะพบกับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครนก็ตาม
โดยทรัมป์กล่าวว่าเขา "ไม่ชอบการรอคอยที่ยาวนาน" และพร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อ "หยุดการฆ่าฟัน" ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ค่อนข้างแตกต่างจากท่าทีของทำเนียบขาวก่อนหน้านี้ ที่ยืนกรานว่าจะมีการประชุมระหว่างทรัมป์-ปูติน ก็ต่อเมื่อผู้นำรัสเซียยอมเจรจากับผู้นำยูเครนก่อนเท่านั้น
ทางฝั่งรัสเซียเองก็ดูจะตอบรับสัญญาณนี้ โดย ยูริ อูชาคอฟ ผู้ช่วยฝ่ายนโยบายต่างประเทศของเครมลิน ยืนยันว่าทั้งสองฝ่ายได้ตกลงในหลักการที่จะจัดประชุมสุดยอดทวิภาคีขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ และกำลังเริ่มหารือในรายละเอียด โดยคาดว่าอาจจะเกิดขึ้นเร็วที่สุดในสัปดาห์หน้า และมีชื่อของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เป็นสถานที่จัดประชุมที่เป็นไปได้
อย่างไรก็ตาม การเจรจานี้เต็มไปด้วยความซับซ้อนและแรงกดดัน เพราะทรัมป์เองก็ขีดเส้นตายว่ารัสเซียต้องแสดงความคืบหน้าในการหยุดยิงภายในวันศุกร์นี้ ไม่เช่นนั้นอาจต้องเผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติม ซึ่งอาจกระทบไปถึงประเทศที่ยังซื้อน้ำมันจากรัสเซียด้วย
ขณะที่ฝ่ายยูเครนและชาติพันธมิตรยุโรปต่างจับตาดูสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด ด้วยความกังวลว่าปูตินอาจโน้มน้าวให้ทรัมป์ยอมอ่อนข้อมากเกินไปในการเจรจา และยังไม่ชัดเจนว่ายูเครนจะได้รับการค้ำประกันความปลอดภัยอย่างไรหากเกิดข้อตกลงหยุดยิงขึ้นจริง ดังนั้น การประชุมที่อาจเกิดขึ้นนี้จึงไม่ใช่แค่การพบกันของสองผู้นำมหาอำนาจ แต่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจกำหนดชะตากรรมของสงครามและเสถียรภาพของโลกได้เลยทีเดียวค่ะ
ความตึงเครียดทางการค้ายังคุกรุ่น
นอกเหนือจากปัจจัยในประเทศแล้ว แนวรบด้านนอกบ้านก็ร้อนระอุและซับซ้อนยิ่งขึ้นค่ะ โดยเฉพาะเกมการค้าที่ตอนนี้มีทั้งไม้แข็งและไม้อ่อนผสมปนเปกันไปหมด
เริ่มจากไม้แข็งก่อนเลยค่ะ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียรวดเดียวถึง 50% เพื่อลงโทษที่อินเดียยังซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ท่าทีนี้สร้างความไม่พอใจให้อินเดียอย่างมาก โดยนายกฯ โมดี ออกมาประกาศกร้าวว่าจะไม่ยอมประนีประนอมในเรื่องที่กระทบผลประโยชน์ของเกษตรกรและชาวประมงของประเทศเด็ดขาด และพร้อมที่จะ "จ่ายราคาที่สูง" เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ขณะเดียวกันก็หันไปกระชับความสัมพันธ์กับพันธมิตรในกลุ่ม BRICS อย่างบราซิลและจีน เพื่อสร้างสมดุลอำนาจใหม่
แต่ในขณะเดียวกัน ท่าทีแข็งกร้าวของสหรัฐฯ ก็มี "หน้าต่างแห่งโอกาส" ซ่อนอยู่ค่ะ เพราะการขึ้นภาษีระลอกใหม่นี้จะมีผลในอีก 21 วัน ทำให้อินเดียมองว่านี่เป็นช่วงเวลาสำคัญในการเปิดโต๊ะเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ และนี่คือจุดที่ "ไม้อ่อน" เข้ามามีบทบาทค่ะ
มีรายงานจากวงในว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของอินเดียกำลังพิจารณาอย่างหนักถึง "ข้อเสนอผ่อนปรน" (Trade Concessions) ที่จะยื่นให้กับสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการค้าเต็มรูปแบบ โดยที่อินเดียจะไม่ใช้มาตรการตอบโต้ในตอนนี้ แต่จะใช้ช่องทางการทูตและการเจรจาเป็นหลัก เป้าหมายคือการบรรลุข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้ และยังรักษา "เอกราชเชิงกลยุทธ์" ของอินเดียเอาไว้
ประเด็นที่อินเดียอาจจะยอมผ่อนปรนให้สหรัฐฯ นั้น เน้นไปที่ ภาคการเกษตรและผลิตภัณฑ์นม ซึ่งเป็นเรื่องที่สหรัฐฯเรียกร้องมาตลอด โดยมีข้อเสนอหนึ่งที่กำลังถูกพิจารณาคือ การอนุญาตให้นำเข้าข้าวโพดดัดแปลงพันธุกรรม (GM Corn) ได้ในปริมาณจำกัด สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมที่ไม่เกี่ยวกับอาหารคน โดยต้องมีระบบตรวจสอบย้อนกลับที่เข้มงวด
ภาพที่ออกมาจึงเป็นการที่อินเดียกำลังเล่นไพ่สองหน้าไปพร้อมกัน ด้านหนึ่งก็แสดงจุดยืนที่แข็งแกร่ง ไม่ยอมจำนนต่อแรงกดดัน และสร้างพันธมิตรใหม่ แต่อีกด้านหนึ่งก็เปิดประตูเจรจาและพร้อมจะยอมในบางเรื่องที่ไม่กระทบต่อผลประโยชน์หลักของประเทศจริงๆ ซึ่งการเดินเกมที่ซับซ้อนนี้สะท้อนให้เห็นความพยายามของอินเดียในการเอาตัวรอดท่ามกลางสมรภูมิการค้าโลกที่กำลังดุเดือดค่ะ
โดยสรุปแล้ว ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ตลาดการเงินโลกกำลังเผชิญกับหลายปัจจัยท้าทายพร้อมกัน ทั้งความกังวลเรื่องตลาดที่ร้อนแรงเกินไป สัญญาณเศรษฐกิจที่เริ่มแผ่วลง และความไม่แน่นอนทางการเมืองทั้งในและนอกประเทศที่อาจส่งผลกระทบต่อนโยบายการเงินและการค้าโลกได้ทุกเมื่อ
สำหรับนักลงทุนแล้ว นี่คือช่วงเวลาที่ต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดและใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษค่ะ แต่ใดๆ คือ ใครก็เอาหุ้นเทคฯ เมกาไม่ลงจริงๆค่ะ
ขอบคุณที่มาเนื้อหาจาก. Beauty Investor