ห้องเม่าปีกเหล็ก

สินทรัพย์เสี่ยงผวา !! หวั่นสงครามปะทุ

โดย stock-news
เผยแพร่ :
65 views

 

 

เข้าสู่สัปดาห์แรกหลังผ่านพ้นวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ SET INDEX ปรับตัวลดลงตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ตามการพัฒนาของข่าวความตึงเครียดบริเวณคาบสมุทรเกาหลีเริ่มระอุมากขึ้นเป็นลำดับ ทำให้นักลงทุนเฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิดว่าเหตุการณ์จะรุนแรงเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ 


แม้ว่าในช่วงก่อนสงกรานต์นักวิเคราะห์หลายสำนักคาดการณ์ว่าทิศทางตลาดหุ้นไทยจะพลิกกลับมาเป็นบวก และมีโอกาสทะลุ 1,600 จุดได้อีกครั้งรับอานิสงส์ฟันด์โฟลว์ไหลเข้า เก็งผลประกอบการในหุ้นBigcap นำโดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์และกลุ่มพลังงานคาดฟื้นตัวได้ดี หนุนเซนติเมนต์การลงทุนของตลาดฯในระยะสั้น แต่ทว่าความตรึงเครียดการเมืองในระหว่างประเทศจะเป็นตัวเเปรสำคัญให้นักวิเคราะห์หันมาปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนหรือไม่


เริ่มกันที่มุมมองคุณมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) บอกกับ MoneyChannel ว่า การปรับตัวลดลงของ SET INDEX วันแรกหลังผ่านพ้นวันหยุดยาวเป็นผลกระทบต่อเนื่องจากเหตุการณ์ความตรึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีที่ยกระดับมากขึ้นกว่าในช่วงก่อนสงกรานต์ แต่ถ้าหากพิจารณาร่วมกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน อาทิ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ก็ปรับตัวลงไปต่างกันมากนัก ประกอบกับปริมาณซื้อขายโดยรวมยังเบาบางหลังนักลงทุนชะลอรอดูความชัดเจนของปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว ขณะที่ตลาดหุ้นไปได้ไปไกลเพราะมีความเสี่ยงรออยู่คือประเด็นการเลือกตั้งในฝรั่งเศสที่กำลังจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า ดังนั้นจึงมองว่าการเหวี่ยงลงแรงของดัชนีฯไม่ได้เป็นภาวะผิดปกติ


อย่างไรก็ตาม ในช่วงสัปดาห์นี้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยอาจจะอยู่ในเชิงลบมากกว่าเชิงบวก ประเมินจุดรับถัดไปคือ 1,566 จุด หลังหลุดระดับแนวรับแรกไปแล้วที่ 1,580 จุด เพราะแม้งบกลุ่มธนาคารจะเริ่มทยอยประกาศออกมา แต่น่าจะเกิดแรงขายsell on fact รวมกับผลกระทบการทยอยขึ้นเครื่องหมาย XD อย่างไรก็ตาม ยังเชื่อว่าฟันด์โฟลว์น่าจะยังอยู่ในตลาดหุ้นเกิดใหม่มากกว่า แต่ในช่วงนี้เป็นแค่ภาวะชะลอการลงทุนเท่านั้นเพราะความเสี่ยงหลักยังอยู่ในประเทศพัฒนาแล้ว เช่น การเลือกตั้งในยุโรป ความขัดเเย้งระหว่างประเทศ รวมถึงทิศทางดอกเบี้ยในสหรัฐฯที่คาดยังคงอยู่ในระดับต่ำ


และท่ามกลางความเสี่ยงดังกล่าว ฝ่ายวิจัยฯเพิ่มความระวังมากขึ้น แม้จะประเมินว่าความขัดเเย้งของทั้ง 2 ประเทศระหว่างเกาหลีเหนือและสหรัฐฯจะไม่ใช้มาตรการทางทหารเข้ามาแก้ไขปัญหา เชื่อว่าสหรัฐฯอาจใช้มาตรการคว่ำบาตรการค้ากับเกาหลีเหนือมากกว่า ดังนั้น ยังแนะนำถือ หรือเลือกหุ้นที่อิงกับการบริโภคในประเทศเพราะมีความปลอดภัยผลกระทบภายนอก โดยให้น้ำหนักไปที่หุ้นเป็นเป้าการไหลเข้าฟันด์โฟลว์ อาทิ BBL//ADVANC//BJC และPTTEP ที่เป็นกลุ่มพลังงานที่คาดได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ขึ้นมายืนเหนือ 50 เหรียญฯสหรัฐ/บาร์เรลได้แข็งแกร่ง


มาที่ด้านคุณวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.เอเชีย เวลท์ เผยกับ MoneyChannel ถึงประเด็นดังกล่าวว่า แม้เชื่อว่าความขัดแย้งของทั้ง 2 ประเทศจะไม่ยกระดับขึ้นจนเกิดภาวะสงคราม แต่ฝ่ายวิจัยฯมองว่าโอกาสที่จะเกิดสงครามก็ยังมีอยู่หากเหตุการณ์ทุกอย่างยังไม่นิ่ง ซึ่งมองเป็นความเสี่ยงที่มีน้ำหนักมากต่อการลงทุนในตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก จะสร้างแรงกดดันในระยะสั้นจนถึงปานกลาง อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์คลี่คลายลงเชื่อว่าความน่าสนใจในหุ้นหรือสินทรัพย์เสี่ยงจะกลับมาอีกครั้ง เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจประเทศใหญ่เริ่มฟื้นตัว สำหรับกลยุทธ์ลงทุนแนะเลือกหุ้นที่มีความผันผวนต่ำและมีปันผล รวมถึงถือเงินสด เพื่อลดความเสี่ยง


ปิดท้ายด้วยมุมมองการลงทุนในทองคำ โดยคุณวรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส ระบุกับ MoneyChannel ว่า แนวโน้มราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทำจุดสูงสุดในรอบเกือบ 5 เดือน หลังนักลงทุนหันมาถือครองเพราะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยจากความไม่แน่นอนความตรึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งหากสถานการณ์ยังเป็นลักษณะการต่อรองกันไปมาจะเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้นทะลุแนวต้าน 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และมีแนวต้านถัดไป 1,313-1,322 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตาม มองว่าปัจจุบันราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นมาแล้ว 12% นับตั้งแต่ต้นปี จึงมองว่าระดับราคานี้ไม่ได้ถูกแล้วดังนั้นหากนักลงทุนสนใจควรจังหวะอ่อนตัวกำหนดจุดซื้อ 1,280-1,271 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากราคาเกิดหลุดต่ำกว่ากรอบล่างมีโอกาสเกิดการพักฐานได้

- ที่มา : moneychannel


stock-news