- วิกฤต COVID ที่ผ่านมาถือว่าค่อนข้างหนักในแง่ของตลาดหุ้น ขาดทุนทุกคน
- มั่นใจใน long term โดยเฉพาะกุล่มขนส่ง รถไฟฟ้า
- ที่ผ่านมาซื้อก่อนโดนเซอร์กิตเบรคเกอร์ แต่ใช้กลยุทธ์แบ่งซื้อหลายไม้
- ส่วนตัวเชื่อว่าจุดต่ำสุดผ่านไปแล้ว เพราะคนกลัวกันมาก สิ่งที่นักลงทุนต้องวิเคราะห์ คือ เราจะซื้อกลุ่มไหน จะแบ่งพอร์ตอย่างไร มีหุ้นกลุ่มไหนฟื้นตัวได้บ้าง
- กลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อย เช่น ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์
- กลุ่มที่ได้รับผลกระทบสั้น ฟื้นตัวเร็ว เช่น ทางด่วน รถไฟฟ้า อาหาร ห้างสรรพสินค้า ค้าปลีก
- กลุ่มที่ได้รับผลกระทบกลางๆ ต้องใช้ระยะเวลาฟื้นตัวสักพัก เช่น ร้านอาหาร อสังหาให้เช่า
- กลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักๆ ต้องใช้ระยะเวลาฟื้นตัวนาน เช่น โรงแรม โรงหนัง สนามบิน น้ำมัน-ปิโตรเคมี
- ธุรกิจห้างสรรพสินค้า ตลาด จะเกิด New Normal ไหม คนจะออกไปซื้อของหรือเปล่าเพราะช๊อปปิ้งออนไลน์ทดแทนได้
... ส่วนตัวคิดว่าคนไทยชอบออกจากบ้าน ชอบเที่ยว ชอบพบปะผู้คน คิดว่าการช๊อปออนไลน์ไม่น่าจะแทนกันได้
====================
== หลักในการลงทุนช่วงวิกฤต ==
- ในช่วงวิกฤตเราเลือกหุ้น Defensive + Value มากกว่า Growth
- ต้องกลับมาได้ ฟื้นตัวได้ Well Recovery เช่น ทางด่วน รถไฟฟ้า
- ไม่โดนดิสรัป และผูกขาดระดับหนึ่ง เช่น โรงหนัง .. ธุรกิจโรงหนังเป็นความบันเทิงที่หาจากบ้านไม่ได้ มันมีความคมชัดของภาพและเสียง เป็นต้น หรืออย่างธุรกิจการบิน โรงแรม คู่แข่งเยอะเกิดการแข่งขัน ตรงนี้ไม่ดีแน่ ถ้าไม่รายใหญ่พออาจจะโดนดิสรัปได้
- ถ้านักลงทุนทำการบ้านเพิ่มอีกสักนิด ลองใช้วิธี Benchmark กับรายใหญ่ดูว่าพวกเขามีต้นทุนเท่าไร เช่น ถ้าเราวิเคราะห์หุ้น Global มีครั้งหนึ่ง SCC เข้าซื้อลงทุนที่ 13 บาท ต่อมา Global มีการปันผลเป็นหุ้น ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยของ SCC อยู่ที่ 9 บาท ดังนั้นถ้าหุ้นอยู่ใต้ 9 บาท แสดงว่า Value แล้ว ถือว่ามีความน่าสนใจเข้าซื้อ
- บางทีนักลงทุนต้องมีตัวเลขราคาหุ้นในใจ ถ้าเราไม่คำนวน ไม่มีตัวเลขราคาหุ้นที่เหมาะสมในใจ เราจะรู้สึกกลัว เวลาหุ้นลงไม่กล้าซื้อ มัวแต่รอ รอ รอ ทำให้เราพลาดโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นได้
====================
- ท่องเที่ยว แต่เดิมเป็นธุรกิจความคาดหวังสูง พอเกิดวิกฤตเลยลงมาค่อนข้างหนัก นักลงทุนผิดหวัง ... ส่วนตัวคิดว่าเป็นธุรกิจที่ลงทุนได้ กลับมาแต่ต้องใช้เวลา และเราต้องเลือก
- กลุ่มโรงพยาบาล เป็นกึ่งๆท่องเที่ยว กึ่งๆรักสุขภาพ เชื่อว่ากลับมาได้ และกลับมาได้เร็วกกว่ากลุ่มโรงแรม
- หุ้นกลุ่ม New Normal คือการเปลี่ยนแปลงที่จะไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม การดึง 10 ปีข้างหน้ามาเป็นวันนี้ สำหรับหุ้นไทยเราไม่ค่อยมีธุรกิจสายเทคโนโลยี แต่อยากให้เน้นธุรกิจที่ผูกขาด คือไม่มีคู่แข่ง และกินขาย คือ มีผู้เล่นน้อยราย