5 บริษัทในตลาดหุ้นไทย เสี่ยงถูกทริสเรทติ้ง “หั่น” เครดิตองค์กร BTS-DTAC ติดอันดับ
จากการสำรวจข้อมูลของ “ทริสเรทติ้ง” พบว่า ในงวดปี 2565 มีบริษัทจดทะเบียนที่ทาง “ทริสเรทติ้ง” ระบุว่ามีโอกาสที่จะถูกปรับลดอันดับเครเครดิตองค์กรกว่า 20 บริษัท โดยส่วนใหญ่พบว่าเป็นบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์กว่า 8 บริษัท และที่เหลือกระจายอยู่ในอุตสาหกรรมร้านอาหาร ,ไฟแนนซ์ ,โทรคมนาคม อุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐาน และธนาคารพาณิชย์
โดยในครั้งนี้ Wealthy Thai จึงขอหยิบยกบริษัทที่ทาง “ทริสเรทติ้ง” ประเมินแนวโน้มอัตราเครดิตองค์กรว่า มีแนวโน้มเป็น “Negative” หรือ “ลบ” ซึ่งถือเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไทย จำนวน 5 บริษัท ประกอบไปด้วย 1.บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH 2.บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC 3.บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS 4. บริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEYOND และ 5.บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH
เริ่มกันที่ QH โดยรายงานจาก “ทริสเรทติ้ง” ระบุว่า ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ ที่ระดับ “A-” ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของ บริษัทเป็น “Negative” หรือ “ลบ” จาก “Stable” หรือ “คงที่” ด้วย
โดยแนวโน้มอันดับเครดิต“Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงรายได้และกำไรของบริษัทที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ตลอดจนสถานะทางการตลาดของบริษัทในกลุ่มธุรกิจบ้านจัดสรรที่อ่อนแอลง ในขณะเดียวกันอันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความหลากหลายของสินค้า ตลอดจนรายได้เงินปันผลที่สม่ำเสมอจากการลงทุนในบริษัทร่วม และการบริหารการเงินที่ระมัดระวังของบริษัทอีกด้วย
อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูงและอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนการก่อสร้างและต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการให้เพิ่มสูงขึ้นในขณะเดียวกันก็ลดทอนกำลังซื้อของผู้ซื้อบ้านลงในระยะสั้นถึงปานกลาง
ด้าน DTAC ทริสเรทติ้งประกาศ “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” สำหรับอันดับเครดิตองค์กรระดับ “AA” ของ DTAC เนื่องจากการควบรวมกิจการระหว่างบริษัทและ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ“เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงการคาดการณ์ ว่า สถานะทางการเงินของบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวม (NEWCO) อาจมีแนวโน้มต่ำกว่าสถานะทางการเงินของบริษัทเอง
ขณะที่ BTS ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” โดยแนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงความเป็นไปได้ที่ภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากโอกาสในการลงทุนในสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าใหม่ซึ่งดำเนินงานโดยบริษัทย่อยหลักคือ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
ส่วน BEYOND ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) เดิมชื่อ บริษัทผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BB” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีของโรงแรมที่บริษัทเพิ่งซื้อกิจการและสภาพคล่องที่ตึงตัวแต่ยังอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากระดับหนี้สินของบริษัทที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นจากแผนการลงทุนตลอดจนความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมโรงแรมในประเทศไทยซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยที่ยังคงกดดันผลการดำเนินงานของบริษัทต่อไป และสินทรัพย์ของบริษัทที่กระจุกตัวอยู่ในโรงแรมเพียง 2 แห่งซึ่งตั้งอยู่ในทำเลเดียวกัน
ปิดท้ายที่ LH ทริสเรทติ้งได้เปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Negative” หรือ “ลบ” จาก “Stable” หรือ “คงที่” ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพสินทรัพย์และผลการดำเนินงานของธนาคารที่อ่อนแอกว่าคาด ตลอดจนฐานทุนที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจากการขยายสินเชื่อจำนวนมาก โดยทริสเรทติ้งเชื่อว่าธนาคารมีความเสี่ยงที่จะมีฐานทุนที่ลดลงในระยะปานกลางหากธนาคารยังคงดำเนินกลยุทธ์การเติบโตแบบเชิงรุกต่อไป
มีผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงิน
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทที่มีความเสี่ยงในด้านของการถูกปรับลดอัตราเครดิตนั้น หากถูกปรับลดลง หรือมีความเสี่ยง ก็อาจจะมีผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงิน รวมถึงอันดับความน่าเชื่อถือในด้านของ ESG อาจจะต่ำ และอาจมีผลต่อการเข้าคำนวณดัชนีประเภท ESG
