ห้องเม่าปีกเหล็ก

Top 10 หุ้น 5 ประเภทของนักลงทุน

โดย Financial Investor
เผยแพร่ :
94 views

Top10 หุ้นทั้ง 5 ประเภทนี้ นักลงทุนสามารถเลือกเข้าพอร์ตตามสไตล์ความชอบของตนเอง เริ่มต้นปีใหม่มา ตลาดหุ้นกำลังขึ้นมาเกือบ 1,580 จุดแบบนี้ แน่นอนว่านักลงทุนต้องการหาหุ้นดี ๆ เก็บไว้เล่นไว้ลงทุน

ดังนั้นจึงผมจึงแบ่งเกณฑ์เบื้องต้นในการคัดเลือกหุ้นที่ติดอับดับประเภทต่าง ๆ ที่น่าสนใจมาให้นักลงทุนพิจารณาประกอบการตัดสินใจลงทุน

5 ประเภทตามต่อไปนี้ (เป็นแค่แนวคิด Idea นะครับ ไม่ควรซื้อ-ขายตาม โดยเด็ดขาด ควรใช้ตะแกรงคัดกรองหุ้นของคุณเองที่ถนัดจะเหมาะสมกว่านะครับ)

 

1. พี่ใหญ่ตลาดหุ้น - Market Capitalization สำหรับคนชอบเล่นหุ้นบูลชิพ

 

 


Market Cap. เป็นมูลค่าตามราคา ตลาดโดยรวมของหลักทรัพยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งเป็น ค่าที่คำนวณจากผลรวมของราคาปิดหลักทรัพย์จดทะเบียนแต่ละหลักทรัพย์คูณกับจำนวนหลักทรัพย์จดทะเบียนของหลักทรัพย์นั้น ๆ  

ซึ่งมูลค่าดังกล่าวจะสะท้อนให้ผู้ลงทุนเห็น ถึงขนาดและความน่าสนใจลงทุนของตลาดหลักทรัพย์นั้น ๆ ทั้งในแง่ ของสภาพคล่องปริมาณและประเภทสินค้าที่จะเลือกลงทุน และมักเป็นหุ้นกลุ่มแรกๆ ที่  Fund Flow จากต่างชาติจะเข้ามาซื้อ / ขาย

 

2. หุ้นซิ่ง วิ่งแรง สำหรับคนชอบหุ้นหวือหวา

 

 

 


หุ้นวิ่งแรง - Capital Gain ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา หรือ ผลกำไรส่วนต่างจากราคาหลักทรัพย์ คือรูปแบบของกำไรที่ได้มาจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่า เกิดเป็นกำไรส่วนเกินของทุน แต่ก่อนซื้อก็ต้องระวังตัวหน่อยเพราะราคาขึ้นมาเยอะแล้ว อาจจะติดดอยได้ และยังมีส่วนต่างความปลอดภัยเหลืออยู่อีกหรือไม่? อย่าลืมดูพื้นฐานธุรกิจจะโตได้อีกไหม

 

3. หุ้นปันผลสูง สำหรับคนที่ชอบนอนกินรับเงินปันผล 

 

 


หุ้นเน้นจ่ายปันผลสูง - เงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) คำนวณได้จากเงินปันผล (ต่อปี)ต่อหุ้น หารด้วย ราคาหุ้น ใช้เปรียบเทียบ อัตราผลตอบแทนการลงทุนที่ได้จากเงินปันผล (แต่ก็ต้องดูด้วยนะครับว่าปันผลเยอะ เพราะบริษัทไม่โตแล้วหรือไม่? หรือปันผลสม่ำเสมอแค่ไหน ไม่ใช่ปีที่แล้วปันผลสูงปีเดียว)

 

4. หุ้น P/E ต่ำ, P/BV ต่ำ สำหรับคนชอบหุ้นราคาถูก 

 

 

 

 

P/E หรือ Price/Earning per Share ไว้ใช้เปรียบเทียบความถูกแพงของหุ้น (โดยคร่าวๆ) โดยทั่วไปแล้ว ถ้า P/E ต่ำ แต่การเติบโตของกำไร (growth) ยังดูดีมีอนาคต จะทำให้ Margin of Safety ปลอดภัยกับนักลงทุนมากขึ้น


P/BV - ย่อมาจาก Price/Book Value ซึ่ง Book Value จากส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) หารด้วยจำนวนหุ้น ยิ่งเราซื้อหุ้นได้ต่ำกว่า BV มากเท่าไหร่ (P/BV ต่ำ) ก็หมายความว่าเราสามารถซื้อหุ้นได้ในราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท

ซึ่งตามตำราทั่วไปก็จะบอกว่า P/BV ยิ่งต่ำยิ่งดี ตัวเลขมาตราฐานที่มักจะใช้เป็นฐานก็คือเลข 1 เท่า (อย่าลืมเทียบกับ Peer บริษัทที่คล้ายๆกันในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันดัวย เพราะแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมมักมีค่าเฉลี่ย P/BV ที่ไม่เท่ากัน)

และต้องดูด้วยว่าบริษัทเหล่านี้ยังมีโอกาสเติบโตในอนาคตหรือไม่ เพราะถึงแม้ P/E และ P/BV จะต่ำ แต่ถ้าอนาคตไม่โต ก็เป็นความเสี่ยงเช่นกัน

 

5. ROE (Return on Equity) สำหรับคนที่เน้นหุ้นผลตอบแทนของนักลงทุนสูงๆ

 

 

ใครที่เป็นนักลงทุนสายพื้นฐาน จะทราบดีว่าปรมาจารย์อย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ให้ความสำคัญกับอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Return on Equity, ROE) มาก เป็นอัตราส่วนที่นักวิเคราะห์นิยมใช้เป็นอันดับต้น ๆ ROE มาจาก ( กำไรสุทธิของบริษัท หาร ส่วนของผู้ถือหุ้น ) x 100

 

ตัวเลขเปรียบได้ว่า เงิน 100 บาทของผู้ถือหุ้น บริษัทนำไปสร้างผลตอบแทนได้กี่บาท ปกติยิ่งค่ามากจะยิ่งดี ถือว่าคุ้มค่าเงิน 100 บาทของนักลงทุน (แต่ต้องระมัดระวังด้วยว่า หากยิ่งบริษัทกู้หนี้มามาก แม้ว่าจะมีผลดีต่อ ROE แต่ภาระหนี้สินและดอกเบี้ยจ่ายก็จะสูงตามไปด้วย) ต้องศึกษาปัจจัยอื่นๆ ประกอบในตัดสินใจลงทุน

 

 

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : Aspen (ข้อมูล ณ วันที่12/01/2560)

หมายเหตุ : ข้อมูลในนี้เป็นข้อมูลไว้ใช้ในการประกอบการตัดสินใจลงทุนเท่านั้น เป็นทัศนะความคิดส่วนตัวของผู้เขียนเอง มิได้มีวัตถุประสงค์เชิญชวนหรือชี้นำหลักทรัพย์โดยเฉพาะแต่อย่างใด โดยที่ข้อมูลนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ภายหลังวันดังกล่าวนี้


Financial Investor