คิดเห็นเป็นก่อน-นัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ?
อ่านเพิ่มเติม คลิ๊ก https://www.thunhoon.com/gdp-4/
นัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ?
จากระแสเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยค่อนข้างชัดเจนแล้วนั้น เนื่องจากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้น GDP ขยายตัว การใช้จ่ายภาครัฐจากการเร่งลงทุน และอนุมัติโครงการขนาดใหญ่ต่างๆเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ การส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุนของภาคเอกชน ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนสามารถเติบโตแข็งแกร่ง รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่มีเสถียรภาพกำลังเดินไปสู่การเลือกตั้ง ล้วนส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติต่างให้ความสนใจตลาดหุ้นไทย ให้น้ำหนักการลงทุนเพิ่มขึ้น
ตามที่ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2560 ที่ผ่านมา ได้มีการประกาศเรื่อง แนวทางการระบุและการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ และประกาศเรื่อง รายชื่อธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ ซึ่งประกอบไปด้วย ธ.กรุงเทพ, ธ.กรุงไทย, ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กสิกรไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์ ดังนั้นจึงต้องทำให้ธนาคารมีความมั่นคง โดยจะมีการปรับเพิ่มเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) เดิม 11.0% เป็น 11.5% ภายในปี2562 และ เดิม 11.5% เป็น 12% ในปี 2563 หลังจากที่มีการเผยแพร่ข่าวดังกล่าวได้สร้างความกังวล ปนความตกใจให้นักลงทุนมีการเทขายหุ้นกลุ่ม ธนาคารพาณิชย์โดยเฉพาะที่มีรายชื่อดังกล่าวออกมากดดันราคาให้ต่ำลง
ทั้งนี้ ได้มีการออกมาชี้แจงประเด็นดังกล่าวจากผู้ที่เกี่ยงข้อง ทั้ง ธปท. สมาคมธนาคารไทย รวมถึงผู้บริหารของธนาคาร ว่าประกาศดังกล่าว เป็นแนวทางที่ทั่วโลกปฏิบัติกันอยู่แล้วเพื่อให้เป็นไปในแนวทางและมาตรฐานเดียวกันตามหลักเกณฑ์ Basel lll มีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเสี่ยงของวิกฤตในอนาคต จากการชี้แจงของผู้บริหารแบงก์ ถึงฐานะของแบงก์ที่ยังมีความแข็งแกร่ง มีเงินกองทุนตามเกณฑ์ Basel lll สูงกว่ามาตรฐาน สามารถรองรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น และยังมีความสามารถในขยายธุรกิจได้ในอนาคต อีกทั้งตามหลักเกณฑ์ของ Basel lll โดยในปี 2562 จะต้องมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 11 % ซึ่งในปัจจุบันธนาคารไทยอยู่ที่ 14 % สูงกว่ามาตรฐาน ซึ่งแต่ละปี ธนาคารจะมีกำไรมากกว่า 1 แสนล้านบาทจะทำให้การสำรองต่างๆเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว
ภายหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจลุกลามไปทั่วโลก มีสถาบันการเงินล้มมากมาย แม้กระทั่งสถาบันการเงินขนาดใหญ่ระดับโลกก็ไม่เว้นอย่างที่ได้เห็นกันมาแล้ว ก่อให้เกิดการตื่นตัวในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถาบันการเงินทั่วโลก มีความระมัดระวังเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ มีการเพิ่มสัดส่วนเงินกองทุนสำรองให้สูงขึ้น เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลกนั่นเอง
จากข่าวที่ออกมา ก็มีคำถามมีข่าวลือเกิดขึ้น ธนาคารจะล้มหรืออย่างไร ไหนบอกว่าฐานะทางการเงินของแบงก์แข็งแกร่ง รายชื่อแบงก์ที่ประกาศออกมาล้วนเป็นแบงก์ใหญ่แทบทั้งสิ้น คำว่า “นัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ” มีความหมายที่แท้จริงว่าอย่างไร เป็นศัพท์ที่ดูจะสร้างความหวาดกลัว ความไม่เชื่อมั่นเสียมากกว่า อย่างไรก็ตาม หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ที่ผ่านมามีแบงก์ต้องล้มหายตายจาก ทำให้หลังจากผ่านวิกฤตมา แบงก์ไทยมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกันครั้งใหญ่ มีฐานะทางการเงินที่เข้มแข็ง เพื่อป้องกันความเสี่ยงวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต
แน่นอนประเด็นข่าวที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นกลุ่มแบงก์ มีการปรับตัวลดลงทั้งกลุ่ม ยิ่งใกล้การประกาศผลประกอบการกลุ่มแบงก์ในช่วงต้นเดือนหน้า ที่นักวิเคราะห์คาดกันว่าจะออกมาดี จะส่งผลกระทบอะไรอีกหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ราคาที่ลดลง หากข่าวนี้ส่งผลระยะสั้น และงบฯแบงก์ออกมาดี ราคาคงไม่ต้องพูดถึงคงดีดเด้งเป็นสปริงที่กดไว้แน่ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เราคงต้องติดตามกันต่อเพราะคงจะเป็นที่ถกเถียงกันไปอีกหลายวัน “นัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบของประเทศ?” ตกลงดีหรือไม่ดี