เมื่อจีนเปิดประเทศ!
ทำให้หุ้น “โรงพยาบาล” โดดเด่นอีกครั้ง

.
เปิดศักราชใหม่ปี 2566 หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลกำลังจะมีปัจจัยบวกเข้ามาอีกครั้ง หลังล่าสุดทางจีนมีแผนเปิดประเทศในวันที่ 8 ม.ค.นี้ ซึ่งทุกคนต่างรับรู้กันอยู่แล้วว่า ยอดผู้ติดเชื้อ Covid-19 ในประเทศดังกล่าวยังคงเคลื่อนไหวในระดับสูง นักวิเคราะห์จึงคาดจะเป็นอีกปัจจัยหลักที่จะกระตุ้นการติดเชื้อเพิ่มขึ้น จึงอาจจะเป็นโอกาสของหุ้นกลุ่มนี้ก็เป็นได้
.
โดยมุมมองของนักวิเคราะห์บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า การเปิดประเทศของจีนในวันที่ 8 ม.ค. 2566 เป็นบวกต่อหุ้นโรงพยาบาลที่มีสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติสูงเช่นกัน อย่าง BDMS BH รวมถึง EKH ที่เป็นที่นิยมของชาวจีนในการเข้ามาทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) นอกจากนี้ผู้ประกอบธุรกิจร้านขายยาจะได้ประโยชน์เช่นกันเนื่องจากร้านขายยาในไทยถือเป็นที่นิยมของชาวจีนประกอบกับการเป็น High season ของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แนะนำ IP
.
ส่วนมุมมองของนักวิเคราะห์บล.กสิกรไทย กล่าวว่า คงมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มโรงพยาบาล โดยมี BDMS และ EKH เป็นหุ้นเด่น ซึ่งเชื่อว่าการติดเชื้อ Covid-19 น่าจะเพิ่มขึ้นในเดือน ม.ค.2566 ตามการคาดการณ์ของกรมควบคุมโรค แม้ว่ายอดผู้ป่วยรักษาตัวในโรงพยาบาล และยอดผู้เสียชีวิตที่ลดลงในเดือน ธ.ค. จะสะท้อนถึงการติดเชื้อที่ลดลง
.
ทั้งนี้ยอดการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นอาจไม่ช่วยมากนัก โดยช่วงวันหยุดยาวและการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนจะเป็นปัจจัยหลักกระตุ้นการติดเชื้อเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การระบาดระลอกใหม่ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล ส่วนยอดผู้ป่วยโรคหลักคงฟื้นตัวต่อเนื่อง นำโดยไข้หวัดใหญ่
.
สำรวจปัจจัยพื้นฐาน 3 หุ้นเด่น
BDMS มุมมองของนักวิเคราะห์บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า คงมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการในปี 2566 ที่คาดยังเติบโต Outperform กลุ่ม เนื่องจากรับผลบวกโดยตรงจากการเปิดประเทศสวนทางผลประกอบการกลุ่มที่คาดกำไรจะปรับลดลงราว 5 % จากฐานที่สูง จึงแนะนำ “ซื้อ” คงมูลค่าพื้นฐานในปี 2566 ที่ 37.40 บาท
.
ทั้งนี้ปี 2566 ประมาณกำไรปกติที่ 13,999 ล้านบาท โต 15% จากปีก่อน ซึ่งมองว่าจะยังเป็นการเติบโตจากกลุ่มคนไข้ปกติ ที่มาจาก Pent up demand และจะรับผลบวกเต็มปีจากการฟื้นตัวของคนไข้ต่างชาติ หลังจากที่มีการเปิดประเทศ โดยคาดว่าสัดส่วนคนไข้ต่างชาติจะปรับเพิ่มเป็น 33 % จากเฉลี่ย 23 % ในปี 2565 ใกล้เคียงกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของ COVID 19
.
ขณะที่บริษัทยังมีแผนในการขยายธุรกิจใหม่เสริมรายได้ โดยล่าสุดบริษัทมีการจับมือกับ Minor Hotels ผ่านบริษัทในเครือคือ BDMS Wellness Clinic ซึ่งมีแผนจะเปิดคลินิกในกลุ่มโรงแรม Minor Hotels ซึ่งมีโรงแรมในเครือทั้งสิ้นมากกว่า 535 แห่ง โดยคาดว่าจะช่วยขยายฐานรายได้จากต่างชาติมากขึ้น ด้านประสิทธิภาพในการทำกำไรคาดดีขึ้นจากผลของรายได้ และการรักษาโรคซับซ้อน และการกลับมาของผู้ป่วยต่างชาติ ซึ่งมีมาร์จิ้นสูงมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
.
ด้านบริษัทให้เป้าหมายรายได้ 3 ปีข้างหน้า (ปี 2566-2568 ) เติบโต CAGR ที่ 6-8% ต่อปี เป็นการเติบโตจาก 1.Organic Growth การเติบโตทั้งจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น และผลของ intensity (รายได้ต่อหัวที่สูงขึ้นจากการรักษาโรคที่ซับซ้อน) 2.กลยุทธทางธุรกิจมีแผนเพิ่มรายได้จากธุรกิจใหม่ โดยขยายฐานลูกค้า Wellness & Residence สอดคล้องกับการที่ประเทศไทยกำลังจะก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ (Agi ng Society) จากโครงการ BDMS Silver Wellness & Residence รวมถึงเริ่มส่งเสริมในส่วนของ health technology รองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
.
3.คาดจำนวนเตียงจดทะเบียนจะเพิ่มจากปี 2565 ที่ราว 8,500 เตียง เป็น 9,000 เตียง จากแผนในการเปิดโรงพยาบาลใหม่ ในปี 2566 คือ โรงพยาบาลพญาไทย ศรีราชา จำนวน 100 เตียง เพิ่มเตียงโรงพยาบาลพญาไทย 1 อีก 160 เตียง ปี 2567 สมิติเวท อินเตอร์เนชั่นแนล สำหรับเด็ก 102 เตียง และปี 2568 ขยายอีกราว 200 เตียง ขณะที่คาดกำไร 3 ปีข้าง (ปี 2566-2568) หน้าเติบโต CAGR ที่ 11%
.
ถัดมา BH โดยมุมมองของนักวิเคราะห์บล. เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ มีความเห็นว่า ผลประกอบการไตรมาส 4/65 ของ BH จะยังคงเติบโตต่อเนื่องหนุนด้วย 1.ผู้ป่วยต่างชาติโดยเฉพาะชาวตะวันออกกลางที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก , 2.การควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมส่งผลบวกต่อ EBITDA Margin ของบริษัท และ 3.การรีโนเวทโรงพยาบาลใหม่จะส่งผลให้จำนวนเตียงเพิ่มขึ้น
.
ทั้งนี้ได้มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 65 จากเดิม 3,617 ล้านบาท เป็น 4,584 ล้านบาท เพื่อสะท้อนการเพิ่มขึ้นของรายได้ผู้ป่วยต่างชาติอย่างแข็งแกร่ง บนสมมติฐานรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติเพิ่มขึ้น 118% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 60% , รายได้จากผู้ป่วยชาวไทยเพิ่มขึ้น 18% และปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 66 จากเดิม 3,900 ล้านบาท เป็น 5,060 ล้านบาท บนสมมุติฐานรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติ เพิ่มขึ้น 30% และ รายได้จากผู้ป่วยชาวไทยเพิ่มขึ้น 20% ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 66 ไว้ที่ 232 บาท แนะนำ ซื้อ
.
สุดท้าย EKH มุมมองของนักวิเคราะห์บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) มีความเห็นว่า มีมุมมองเป็นบวกต่อประเด็นข่าวที่ประเทศจีนประกาศจะยกเลิกมาตรการกักตัวผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศ หลังจากที่มีการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวมานาน 3 ปี ส่งผลบวกต่อการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ที่จะเดินทางกลับมารักษาในประเทศไทยมากขึ้น
.
และเป็นบวก โดยตรงต่อธุรกิจรักษาผู้มีบุตรยาก หรือ IVF ของ EKH ซึ่งลูกค้าหลัก เป็นคนจีน โดยช่วงก่อนการ ระบาดของ COVID-19 ย้อนไปปี 2562 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจ IVF สูงถึง 20% ของรายได้ และลูกค้าจีน ราว 95% ซึ่งหมายถึงลูกค้าจีนมีสัดส่วนถึง 19% ของรายได้รวม
.
ขณะที่ปี 2563-2565 ซึ่งเป็นช่วงการ ระบาดของ COVID-19 สัดส่วนรายได้ IVF ลดลงมาเหลือเพียง 6% 3% และ 7% ของรายได้รวมตามลำดับ ซึ่งประมาณการในปี 2566 แบบอนุรักษ์นิยม คาดสัดส่วนรายได้จาก IVF จะเพิ่มเป็น 13% ของรายได้ รวม นอกจากนี้คาดว่าคนไข้ปกติในประเทศจะกลับมาจาก Pent Up Demand ภาพรวมปี 2566 ประมาณการกำไรจะพลิกกลับมาเติบโต 8% เป็น 270 ล้านบาท คงแนะนำ “ซื้อ” ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2566 ที่ 10.80 บาท