ห้องเม่าปีกเหล็ก

เปิดมุมมอง “ดร. กอบศักดิ์”

โดย dave
เผยแพร่ :
60 views

เปิดมุมมอง “ดร. กอบศักดิ์” จับตาค่าเงินผันผวนหลังเฟดขึ้นดอกเบี้ย พ.ค. นี้

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ ให้สัมภาษณ์พิเศษ “การเงินธนาคาร” ในเรื่องมุมมองผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ที่จะมีขึ้นในเดือน พ.ค. นี้ รวมถึงผลจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่จะมากระทบกับเศรษฐกิจไทย

 

คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.5%

ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า การประชุมของเฟดจะมีขึ้นในทุก 6-8 สัปดาห์ โดยในการประชุมครั้งแรกของปีนี้ได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว 0.25% และได้มีการส่งสัญญาณว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี 2565 ในอัตรา 0.25% ในทุกรอบการประชุม แล้วหลังจากนั้นอาจมีการปรับขึ้นอีกระยะหนึ่งจนกระทั่งดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 3%

โดยหลังจากการส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 1 สัปดาห์ ประธานเฟดได้ส่งสัญญาณใหม่ว่าพร้อมแล้วที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.5%  ขณะที่ล่าสุดได้ออกมาส่งสัญญาณอีกครั้งว่าเห็นสัญญาณที่ดีจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยตั้งแต่แรก

“ล่าสุดประธานเฟดได้ออกมาพูดว่าเห็นสัญญาณทีดีของการให้ยาแรงตั้งแต่แรกหรือ Front loading ซึ่งเหมือนกับการฉีดวัคซีนที่กลัวว่าภูมคุ้มกันจะไม่ขึ้น แทนที่จะฉีดแบบหนึ่งเข็มแล้วฉีดอีกเข็มสามเดือนให้หลัง เปลี่ยนเป็นฉีดเข็มครึ่งในรอบแรกแล้วฉีดอีกครึ่งเข็มในอีกสามเดือนเพื่อให้มีแรงกระตุ้นตอนแรกมากหน่อย โดยหลังจากตลาดได้เห็นสัญญาณของเฟดตลาดก็เกิดความปั่นป่วนพอสมควร”

ซึ่งเมื่อใกล้ถึงการประชุมเฟดในวันที่  3-4 พ.ค.นี้ ตลาดได้มีการคาดการณ์ไปว่าเฟดจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยในอัตรา 0.25% แต่อาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ 0.75% ซึ่งทำให้ตลาดกังวลและมีการเตรียมการรับมือกับการขึ้นดอกเบี้ยที่สูงถึง 0.75%

ดร. กอบศักดิ์ กล่าวว่า หากถามว่าเฟดมีแนวโน้มจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเท่าไร มองว่ามี 2 ตัวเลขที่มีความสำคัญ ได้แก่ การขยายตัวทางเศรษฐกิจไตรมาส 1 ของสหรัฐที่ออกมา -1.4% เป็นตัวเลขที่สำคัญมาก เนื่องจากประธานเฟดบอกว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวดีแต่ตัวเลขออกมากลับติดลบ จึงมีคำถามจากนักลงทุนว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือเฟดจะตีความเรื่องนี้อย่างไร

นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งตัวเลขที่เป็นปัจจัยสำคัญคือดัชนี NASDAQ ซึ่งใน 1 เดือนตกลงมาทั้งหมด 13% โดย NASDAQ เป็นหุ้นเทคโนโลยี เช่น Netflix, Paypal, Meta (Facebook), Nvidia, Amazon, Tesla ที่มีคนลงทุนเยอะ

โดยดัชนี NASDAQ ที่เคยขึ้นไปสูงสุดที่ 16,000 จุด เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และหลังจากเฟดประกาศว่าจะมีการเร่งเครื่องขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวมถึงประกาศว่าจะมีการถอนสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ ดัชนี NASDAQ รวมถึงหุ้นต่างๆ ในตลาด NASDAQ ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 12,000 จุด หรือลดลงเกือบ 4,000 จุด ในระยะเวลา 4 เดือน

“คุณหมอเวลาจะลงมีดผ่าตัดก็ต้องดูอาการของคนป่วยว่าเข้มแข็งมากพอไหม หรือถ้าอาการไม่ดีอาจจะชะลอการผ่าตัดไปก่อน ซึ่งตัวเลยจีดีพีของสหรัฐที่ -1.4% มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง หมายความว่าแค่ขึ้นดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งแต่เศรษฐกิจก็ติดลบไปแล้ว นอกจากนี้เมื่อรวมกับตลาดหุ้นที่ติดลบแรงเป็นพิเศษทำให้มองว่าทัง 2 ปัจจัยนี้จะเป็นการปิดประตูทำให้เฟดไม่ใช้ยาแรงหรือไม่ขึ้นดอกเบี้ยที่ 0.75% และตัดสินใจขึ้นที่ 0.5% แล้วหลังจากนั้นอาจขึ้น 0.5% อีกเพียง 2 ครั้ง”

ดร. กอบศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดได้มีการเริ่มปรับตัวเพื่อรับกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดอยู่แล้ว แต่หากเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ 0.75% จะเป็นการ Surprise ตลาดพอสมควรและทำให้ตลาดต้องมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นค่าเงินที่แข็งขึ้น ดอกเบี้ยพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญคือในกรณีที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยที่ 0.5% แสดงว่าเฟดเห็นแล้วว่าปัญหาต่างๆ เริ่มส่อสัญญาณว่าเศรษฐกิจเริ่มชะลออย่างที่ต้องการ

“ต้องเข้าใจว่าเฟดกำลังทำอะไร เฟดกำลังข่มขู่ทำให้เงินเฟ้อหายไป ขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้เศรษฐกิจกระทบกระเทือนมากซึ่งขณะนี้ดูเหมือนว่าเฟดจะข่มขู่จนเศรษฐกิจเริ่มชะลอแล้ว ดังนั้นเฟดต้องกลับไปประเมินใหม่ว่าที่ได้ทำไปเพียงพอหรือไม่เพราะเศรษฐกิจได้ชะลอไปแล้วหนึ่งครั้งและถ้าชะลออีกหนึ่งครั้งจะเข้าสู่การเป็น Technical Recession ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจ”

 

Carry Trade กลับมาอีกครั้ง

ดร. กอบศักดิ์ กล่าวว่า หนึ่งในดัชนีที่สะท้อนภาพเศรษฐกิจในขณะนี้คือค่าเงิน โดยค่าเงินดอลลาร์เริ่มแข็งค่าขึ้นประมาณ 6-7% ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยเมื่อเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น เงินในทุกสกุลจึงอ่อนค่าลงทำ New Low มาโดยตลอด ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนว่าเมื่อเฟดขึ้นดอกเบี้ยเงินจะไหลกลับไปที่สหรัฐอเมริกาเนื่องจากดอกเบี้ยพันธบัตรได้ปรับขึ้น

“นักลงทุนมีสภาพคล่องอยู่และเมื่อมีสภาพคล่องเขาก็จะต้องคิดว่าจะเอาเงินไปไว้ตรงไหน เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น หรือสหรัฐอเมริกาแต่ที่ยุโรปดอกเบี้ยติดลบ ญี่ปุ่นก็กังวลเพราะหนี้ของประเทศเยอะต้องอัดฉีดสภาพคล่องและคงดอกเบี้ยของประเทศ ดังนั้นตลาดจึงเทไปข้างสหรัฐอเมริกาที่ดอกเบี้ยกำลังขึ้น ดังนั้นจึงไปกู้จากที่ดอกเบี้ยต่ำแล้วเอาไปปล่อยที่ดอกเบี้ยสูงแล้วกินสิ่งที่เรียกว่า Carry Trade ซึ่งในช่วงนี้ได้ประโยชน์จากค่าเงินด้วย”

โดย Carry Trade เคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงที่สหรัฐอเมริกาดอกเบี้ยสูงขณะที่ประเทศอื่นดอกเบี้ยต่ำ นักลงทุนก็มีการกู้จากประเทศอื่นแล้วไปปล่อยที่สหรัฐอเมริกา และได้หายไปช่วงหนึ่งตอนที่ทุกประเทศได้เริ่มอัดฉีดสภาพคล่องทำให้ดอกเบี้ยต่ำ

“ตอนนี้ในอินเตอร์เน็ตเริ่มมีการเขียนกันอีกครั้งว่านักลงทุนกำหลังทำเรื่อง Carry Trade ซึ่งการทำ Carry Trade ทำให้เงินไหลออกจากญี่ปุ่นแล้วกลับไปที่สหรัฐอเมริกา เงินญี่ปุ่นจึงอ่อนค่าและเงินสหรัฐอเมริกาจะแข็งค่าซึ่งทำให้เงินบาทอ่อนค่าเพิ่มเติมได้”

 

หวังเงินบาทอ่อนช่วยท่องเที่ยวฟื้น

ดร. กอบศักดิ์ กล่าวว่า สถานการณ์ค่าเงินในตอนนี้เป็นกลไกที่เกิดขึ้นจากความแตกต่างของนโยบายการเงินของประเทศใหญ่ๆ ที่มีบางประเทศขึ้นดอกเบี้ย บางประเทศลดดอกเบี้ย และบางประเทศคงดอกเบี้ย จึงทำให้ค่าเงินมีความผันผวนและส่งผลมาถึงค่าเงินบาท

โดยการที่เงินบาทอ่อนค่าในช่วงนี้ถือเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากภาคการเกษตรจะได้รับประโยชน์ โดยปัจจุบันภาคเกษตรได้ประโยชน์จากวิกฤตอาหารโลกและเมื่อรวมกับเงินบาทที่อ่อนค่าจะทำให้ได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น ขณะภาคส่งออกจะได้อานิสงส์จากเงินบาทที่อ่อนค่าทำให้เศรษฐกิจไทยโตได้อีกเล็กน้อย

ดร. กอบศักดิ์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่หวังว่าจะได้รับประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่าคือภาคการท่องเที่ยว จากข้อมูลของกรมควบคุมโรคที่ได้ติดตามตัวเลขการเดินทางผ่านท่าอากาศยานของไทยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

โดยพบว่า ในเดือน พ.ย. 64 ที่เริ่มเปิดเมืองมีผู้เดินทางผ่านท่าอากาศยานประมาณ 1 แสนคน ธ.ค. 64 ประมาณ 3 แสนคนเดือน ม.ค. 65 ที่เจอสถานการณ์โอมิครอนลดลงเหลือ 1 แสนราย เดือนก.พ. และ มี.ค. กลับขึ้นอยู่ที่ประมาณ 2 แสนราย ขณะที่เดือน เม.ย. คาดว่าจะอยู่ที่ 4 แสนราย ดังนั้นในช่วง มิ.ย. –ก.ค. ซึ่งเป็นช่วง summer ของต่างประเทศ ตัวเลขจะดีขึ้นมากกว่านี้ โดยค่าเงินที่อ่อนลงจะทำให้นักท่องเที่ยวอยากมาเที่ยวประเทศไทยมากขึ้น

“สิ่งที่แอบหวังอยู่ลึกๆ ว่าจะได้รับประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่าคือภาคการท่องเที่ยว ตอนนี้ภาคท่องเที่ยวกำลังกลับมา เห็นได้จากนักท่องเที่ยวในสนามบินที่ประเทศต่างๆ กำลังกลับมามากขึ้น เหมือนที่ผ่านมาเป็นช่วงฤดูหนาวที่ใบไม้ทิ้งใบ แต่ตอนนี้เริ่มผลิดอกออกใบ เห็นเลยว่ากำลังจะเข้าสู่อีกฤดูแล้ว คนกำลังกล้าเที่ยว กล้าเดินทาง”

 

แนะคงดอกเบี้ย-ปล่อยเงินบาทอ่อน

ช่วยไทยผ่านช่วงคับขันของเศรษฐกิจโลก

ดร. กอบศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับแรงกดดันจากค่าเงินในช่วงนี้จะเป็นเรื่องราคาน้ำมันซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 110 ดอลลาร์/บาร์เรล และคาดว่าราคาน้ำมันโลกจะอยู่ที่ประมาณนี้ไปอีกสักระยะ ซึ่งหมายความว่าราคาน้ำมันที่เข้าสู่ประเทศไทยจะอยู่ในระดับที่สูง

โดยค่าเงินที่อ่อนลงในขณะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกคงที่ จะทำให้ราคาน้ำมันที่เข้าสู่ประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลทำได้คือช่วยพยุงราคาน้ำมันไปอีกสักระยะ แต่ถ้าทำต่อไปก็จะส่งผลไปสู่กองทุนน้ำมันเพราะการพยุงจะทำได้ดีต่อเมื่อราคาน้ำมันขึ้นในช่วงสั้นๆ ดังนั้นแนวทางที่รัฐบาลทำคือต้องค่อยๆ ขึ้นราคาน้ำมันซึ่งหลายประเทศก็มีการทำในลักษณะนี้ เช่น อินโดนีเซีย ได้ประกาศว่าจะค่อยๆ ลอยตัวค่าน้ำมันเป็นขั้นบันได

“โจทย์ของการทำนโยบายขณะนี้ขึ้นอยู่กับคู่ต่อสู้ของเราคือใคร ซึ่งถ้าเราอ่านเกมว่าคู่ต่อสู้คือราคาน้ำมันโลกขึ้นต่อเนื่องแล้วรัฐบาลไปยันไว้จนถึงปลายปี คนที่เสียหายคือประชาชน เพราะเมื่อถึงปลายปีรัฐบาลจะหมดเงินแล้ววันนั้นรัฐบาลจะต้องปล่อยมือ และการปล่อยมือในครั้งนั้นจะเป็นการปล่อยให้ลอยตัวแบบเต็มที่ในทันที”

สำหรับเรื่องเงินเฟ้อ การอ่อนค่าของเงินบาทมีผลต่อการปรับขึ้นของอัตราเงินเฟ้อเล็กน้อย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องทำใจ โดยรัฐบาลต้องหาแนวทางที่จะช่วยให้ประชาชนผ่านภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นไปได้

ดร. กอบศักดิ์ กล่าวว่า จากผลกระทบของเงินบาทอ่อนค่าทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมัน รวมถึงเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลไปยังการตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งมีคนตั้งคำถามมาโดยตลอดว่า ธปท. จะขึ้นดอกเบี้ยตามเฟดหรือไม่ โดยมองว่าธปท. จะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเนื่องจากในขณะนี้เศรษฐกิจไทยยังถือว่าอ่อนแอ

“แบงก์ชาติต้องคิดหนักในเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยเนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งผมมองว่าแบงก์ชาติสามารถรอได้ถึงปลายปีนี้ ขณะเดียวกันให้ผ่อนเรื่องค่าเงินให้อ่อนลงต่อได้อีกเล็กน้อยซึ่งจะทำให้เป็นการช่วยเกษตรกร ช่วยผู้ส่งออก ทำให้เศรษฐกิจไทยได้รับการกระตุ้นเพิ่มขึ้น จะทำให้เราผ่านช่วงความคับขันของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงไปได้เพราะความยากของปีนี้คือเศรษฐกิจโลกไม่เป็นใจ”

 

 

ฟังสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่...

 


dave