SCGP สิ่งที่ได้กลับมาจากการเยี่ยมชมโรงงานในเวียดนาม
เหตุการณ์สำคัญ เรามีโอกาสร่วมการเยี่ยมชมโรงงานบรรจุภัณฑ์พลาสติก บรรจุภัณฑ์กระดาษ และบรรจุภัณฑ์บริการอาหารของ SCGP ในเวียดนาม เมื่อวันที่ 29-30 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยรวมแล้ว เราเชื่อว่าการดำเนินงานของบริษัทฯ ในเวียดนามจะยังคงเป็นหนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญของ SCGP ในระยะยาว โดยมีศักยภาพในการขยายตัวต่อไปในอีก 3-5 ปีข้างหน้า จากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 100 ล้านคน และคาดว่า GDP จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ประมาณ 5-7% ต่อปี
โดย SCGP ได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในเวียดนามอย่างต่อเนื่องผ่านการควบรวมกิจการในปี 2563-64 ส่งผลให้รายได้จากเวียดนามเพิ่มขึ้น 2.2 เท่า เป็นประมาณ 2.42 หมื่นลบ. ในปี 2565 เมื่อเทียบกับปี 2563 หรือ 16% ของรายได้ทั้งหมด ปัจจุบัน SCGP มีส่วนแบ่งในธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษต้นน้ำที่ 17% และส่วนแบ่งในธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษปลายน้ำที่ 9% ซึ่งเป็นผู้นำในตลาด คิดเป็น integration level ที่ 50% และ 68% ของรายได้ในเวียดนามมาจากกลุ่มที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภค
มองไปข้างหน้า บริษัทฯ มองว่าเวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่มุ่งเน้นในการขยายธุรกิจในอีก 3-5 ปีข้างหน้า เรามองว่าอาจเป็นเรื่องง่ายสำหรับ SCGP ที่จะเติบโตในเวียดนาม เนื่องจากมีธุรกิจปลายน้ำอยู่แล้ว ขณะที่บริษัทฯ ยังไม่มีประสบการณ์ในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ขณะเดียวกัน SCGP มีแผนที่จะสร้างโรงงานผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์แห่งใหม่ (VKPC #3) ในเวียดนามเหนือเพื่อรองรับความต้องการของจีน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2568
กำไรอาจปรับดีขึ้นในครึ่งหลังของปี 2566 จาก GPM ที่เพิ่มขึ้น เราเชื่อว่าไตรมาส 3/2566 จะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัวของกำไรที่โดดเด่น สาเหตุหลักมาจากราคาถ่านหินที่ลดลงอย่างมากประมาณ 16% QoQ ในไตรมาส 2/2566 ซึ่งจะทำให้ GPM เพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 3/2566 เป็นต้นไป ควบคู่ไปกับปริมาณการขายที่คาดว่าจะฟื้นตัว เราคาดว่ากำไรจะปรับดีขึ้นเป็นประมาณ 1.4-1.6 พันลบ. ต่อไตรมาสในครึ่งหลังของปี 2566
ลดคำแนะนำเป็น “ถือ” และปรับ TP ลงจาก 49 บาท เป็น 40 บาท เพื่อสะท้อนการลดประมาณการกำไร 4-8% และการปรับลดตัวคูณมูลค่าหุ้นตามการเติบโตที่ลดลง
