ห้องเม่าปีกเหล็ก

แบงก์ตอบรับอย่างไร เมื่อกนง. ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25%

โดย โจ๊กเกอร์
เผยแพร่ :
224 views

แบงก์ตอบรับอย่างไร เมื่อกนง. ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25%

 

เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 65 ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้นอยู่ที่ 0.75% จากเดิมอยู่ที่ 0.5%  โดยกนง. มองว่าปัจจุบันเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน และคาดว่าขยายตัวกลับสู่ระดับการระบาดของ COVID-19 ในช่วงสิ้นปีนี้ซึ่งเร็วขึ้นจากเดิมที่เคยคาดไว้ในการประชุม กนง. รอบมิ.ย.65  ที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาฟื้นตัวอยู่ในระดับปกติช่วงไตรมาสแรกของปี 66 
 

นอกจากนี้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.25% ในการประชุมครั้งนี้เพื่อดูแลเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงเพื่อเป็นการยึดเหนี่ยวคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะข้างหน้า อย่างไรก็ตามแม้ปัจจุบันคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะสั้นจะเพิ่มขึ้นตามข้อมูลจริงที่เกิดขึ้นแต่คาดการณ์เงินเฟ้อในระยะปานกลางยังคงอยู่ในกรอบ

ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ระระดับที่ต่ำเป็นเวลานานประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงปรับลดลงในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อดูแลไม่ให้ภาวะการเงินในประเทศผ่อนคลายเกินไปส่งผลต่อเสถียรภาพระบบการเงินในอนาคต

สมาคมธนาคารไทย

ไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย ห่วงกลุ่มเปราะบาง

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า   สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง  ทั้งมาตรการทั่วไป เพื่อให้ความช่วยเหลือเร่งด่วน  และมาตรการเฉพาะ เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างตรงจุด 

โดยในเดือนกรกฎาคม 2563  มีลูกค้าเข้าร่วมมาตรการสูงถึง  6.1 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดหนี้รวม  4.2 ล้านล้านบาท หลังสถานการณ์ปรับตัวดีขึ้น ล่าสุด ณ เดือนพฤษภาคม 2565    ลูกค้าภายใต้มาตรการลดลงเหลือ 1.6 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดหนี้เกือบ 2 ล้านล้านบาท มีการเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจ SME ผ่านสินเชื่อฟื้นฟูและสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) จำนวน 3.2 แสนล้านบาทช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของระบบไม่สูงขึ้นมาก  และคุณภาพสินเชื่อมีแนวโน้มดีขึ้น สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวชัดเจน

อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวเศรษฐกิจในปัจจุบัน เป็นการฟื้นตัวแบบไม่ทั่วถึง ในรูปแบบ  The New K-shaped Economy และมีปัจจัยความท้าทายรอบด้าน จากผลกระทบสงครามรัสเซีย-ยูเครน ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น  กระทบกับค่าครองชีพและต้นทุนของภาคธุรกิจ อาจทำให้ลูกค้าบางกลุ่มกลับเข้ามาใช้มาตรการอีกครั้ง 

โดยสมาคมธนาคารไทย และ ธนาคารสมาชิก ตระหนักถึงผลกระทบของลูกค้าประชาชน  พร้อมดูแลให้ความช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ให้กลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง ตามมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ให้แนวทางการปรับนโยบายการเงินของไทยเข้าสู่ภาวะปกติในรูปแบบ Smooth Takeoff โดยนโยบายดอกเบี้ยจะปรับแบบค่อยเป็นค่อยไป ควบคู่ไปกับการดูแลลูกค้ารายย่อยและ SME โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่รายได้ยังไม่กลับมาสู่ภาวะปกติ  

 ดังนั้น การให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้  ให้ความสำคัญกับการดูแลการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อชะลอผลกระทบกับลูกค้ากลุ่มเปราะบาง กลุ่มที่อยู่ระหว่างการปรับตัวให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด  รวมถึงยังให้ความสำคัญกับความเหมาะสมทั้งฝั่งของลูกค้าเงินฝากและเงินกู้ จังหวะ และขนาดของการปรับขึ้นดอกเบี้ย เพื่อลดแรงกดดันของเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ไม่ให้เกิดการสะดุดของการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการ และ ภาคประชาชน 

ทั้งนี้ ลูกค้ารายใหญ่ มีความยืดหยุ่น สามารถสะท้อนต้นทุนที่เป็นจริงได้ก่อน  ส่วนลูกค้ารายย่อย ส่วนใหญ่ได้รับอัตราดอกเบี้ยคงที่ ทั้งสินเชื่อ เช่าซื้อ บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล ขณะที่สินเชื่อที่อยู่อาศัย แม้จะใช้อัตราดอกเบี้ยลอยตัว แต่ค่างวดผ่อนชำระต่อเดือนคงที่ จึงได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่มากนัก 

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการแก้หนี้ระยะยาวผ่าน มาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างตรงจุดให้กับผู้ประกอบธุรกิจและประชาชน เพื่อไม่ให้กลายเป็นหนี้เสีย   มีผลบังคับใช้จนถึงสิ้นปี 2566  คาดว่า เป็นช่วงที่เศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นชัดเจน มาตรการเพิ่มสภาพคล่องผ่านสินเชื่อฟื้นฟู ดำเนินการจนถึงเดือนเมษายน 2566  ซึ่งแต่ละธนาคารได้ จัดทำทางเลือกการให้ความช่วยเหลือลูกค้าแต่ละกลุ่ม ให้สอดคล้องกับปัญหาและสถานะของ แต่ละราย เพื่อให้ความช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสมและตรงจุด 

สมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิก จะติดตามสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างใกล้ชิด พร้อมกับการดูแลคุณภาพสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะหน้าผาเอ็นพีแอล (NPLs Cliff)  ซึ่งจะกลายเป็นความเสี่ยงของระบบเศรษฐกิจไทย  เพราะแม้สถานการณ์ลูกค้าโดยรวมดีขึ้น จากช่วงที่วิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบรุนแรง  แต่มีกลุ่มที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ต้องได้รับความช่วยเหลือภายใต้มาตรการจำนวนมาก  

โดยปัจจุบัน ธนาคารพาณิชย์ไทยมีความแข็งแกร่ง  แต่เมื่อเทียบกับธนาคารในภูมิภาค  ธนาคารพาณิชย์ไทยยังเผชิญความท้าทายในด้านการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรอยู่ในระดับต่ำกว่า และฟื้นตัวช้ากว่าในภูมิภาค ดังนั้น การรักษาระดับความแข็งแกร่ง และสร้างความเชื่อมั่นในระบบธนาคารพาณิชย์ จึงมีความสำคัญ เพื่อให้ระบบธนาคารสามารถดูแลลูกค้ากลุ่มเปราะบาง  กลุ่มที่อยู่ระหว่างการปรับตัว ผู้ประกอบการรายเล็กและรายย่อย รวมถึงหนี้ภาคครัวเรือนได้  พร้อมทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัวของลูกค้าและเศรษฐกิจได้อย่างแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ 

สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ 

พร้อมดูแลลูกค้าช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในฐานะประธานกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ (สงร.)  เปิดเผยว่า จากการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) 0.25% ต่อปี จาก 0.50% ต่อปี เป็น 0.75% ต่อปี เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา

โดย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เล็งเห็นว่าในภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสำหรับสถาบันการเงินอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของประชาชนและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ 

ดังนั้นจึงได้มอบนโยบายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ดูแลลูกค้าทั้งในส่วนลูกค้ารายย่อย ภาคธุรกิจ รวมถึงผู้ส่งออก ให้ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวให้น้อยที่สุด โดยสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ และสถาบันการเงินสมาชิก พร้อมดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและลดภาระค่าใช้จ่ายสำหรับลูกค้าอย่างเต็มที่ โดยมีรายละเอียดแนวทางการดูแลของแต่ละสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ดังต่อไปนี้ 

1.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จะตรึงอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้าในระดับปัจจุบันต่อไปจนถึงสิ้นปี 2565 และจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากตามความเหมาะสมกับสภาวะตลาดเพื่อรักษาสภาพคล่องให้กับธนาคารในการนำเงินไปปล่อยสินเชื่อให้กับประชาชนที่ต้องการมีบ้านได้ต่อไป 

2.ธนาคารออมสิน จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน/6 เดือน ปรับขึ้น 0.15% เงินฝากประจำ 12 เดือน ปรับขึ้น 0.20% และเงินฝากประจำ 24 เดือน/36 เดือน ปรับขึ้น 0.30% เพื่อช่วยส่งเสริมการออม และให้ประชาชนได้มีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้นในช่วงที่กำลังเริ่มกลับมามีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำ (MLR, MOR และ MRR) ไว้ให้นานที่สุด เพื่อชะลอผลกระทบต่อลูกค้ารายย่อย ผู้ประกอบการ SME และกลุ่มเปราะบาง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2565 เป็นต้นไป

3.ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะตรึงอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อภาคการเกษตร และกำหนดแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกร สถาบันการเกษตร ผู้ประกอบการ และชุมชน โดยการดูแลภาระหนี้สิน เพื่อลดความกังวลใจในเรื่องหนี้ การจัดทำคลินิกหมอหนี้ เพื่อลดหนี้ครัวเรือน รวมถึงการให้คำปรึกษาด้านการจัดการหนี้ ทั้งหนี้ในและนอกระบบ การเติมสินเชื่อใหม่ ภายใต้อัตราดอกเบี้ยที่ผ่อนปรน เพื่อเสริมสภาพคล่องในการใช้จ่ายและการลงทุน และการพัฒนาศักยภาพในการปรับเปลี่ยนการผลิตไปปลูกพืชที่มีมูลค่าสูง  การลดต้นทุนการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม และการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิต นอกจากนั้นยังมุ่งเน้นสนับสนุนแนวทางการประกอบอาชีพเสริม เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร และชุมชน

3.ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) จะตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ให้นานที่สุด ในอัตรา Prime Rate 5.75% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบ เพื่อแบ่งเบาภาระลูกค้าและผู้ประกอบการไทย รวมทั้งพัฒนาโปรโมชั่นพิเศษสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า Prime Rate อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ให้อยู่รอดและขยายธุรกิจในตลาดการค้าโลกได้ท่ามกลางปัจจัยท้าทายที่อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางธุรกิจของผู้ประกอบการในปีนี้

4.ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) จะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ให้นานที่สุด เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี  โดยก่อนหน้านี้ได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง  ผ่านกระบวนการแก้ไขหนี้อย่างยั่งยืนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำให้ลูกค้าได้รับผลกระทบไม่มาก ขณะเดียวกันยังมีผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำและคงที่ เสริมสภาพคล่องและบริหารจัดต้นทุนทางการเงิน เช่น สินเชื่อ 3D อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น  4.5% ต่อปี ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ และ สินเชื่อธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (BCG Loan)  อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น  3.99% ต่อปี  เป็นต้น เพื่อช่วยประคับประคองให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวและเดินหน้าธุรกิจได้ต่อเนื่อง

5.ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) จะคงอัตรากำไรสินเชื่อให้นานที่สุดถึงสิ้นปี เพื่อมิให้เกิดผลกระทบกับลูกค้า สำหรับผลตอบแทนเงินฝาก จะจัดสรรตามส่วนแบ่งกำไรตามเงื่อนไข โดยธนาคารจะพิจารณาผลตอบแทนในตลาดที่เปลี่ยนแปลงมาประกอบในการพิจารณา ทั้งนี้ ธนาคารยังคงมาตรการให้ความช่วยเหลือด้านอื่นๆ ให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

6.บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) พร้อมดำเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs อย่างเต็มที่ ในฐานะผู้ค้ำประกันสินเชื่อ โดยยืน 3 มาตรการช่วยผู้ประกอบการ SMEs คือ 1.ลดต้นทุนฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อร่วมกับสถาบันการเงินในโครงการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. SMEs สร้างชาติ หรือ PGS 9 วงเงิน 150,000 ล้านบาท ฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 2-3 ปีแรก และระยะเวลาการค้ำประกันสินเชื่อนานถึง 10 ปี รวมถึง โครงการค้ำประกันสินเชื่อภายใต้ พ.ร.ก.สินเชื่อฟื้นฟู และ โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Soft Loan Extra 2.ให้คำปรึกษาผู้ประกอบการ SMEs ฟรี ผ่าน บสย.F.A.Center และ 3. ปรับโครงสร้างหนี้ สำหรับลูกหนี้ค้ำประกันสินเชื่อ ภายใต้มาตรการ บสย. พร้อมช่วย” ภายใต้แนวคิด แก้หนี้ยั่งยืน

เพื่อรองรับการช่วยเหลือลูกหนี้ค้ำประกันสินเชื่อกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบ เน้นความยืดหยุ่นและผ่อนเบา

กสิกรไทยออกมาตรการ

ลดยอดผ่อนชำระหนี้ 10%

นายกฤษณ์ จิตต์แจ้ง กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากปัญหาสภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ประกอบกับภาวะเงินเฟ้อ และค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ลูกค้าของธนาคารทั้งลูกค้าบุคคลและลูกค้าธุรกิจ ได้รับผลกระทบทั้งในแง่ของต้นทุนการผลิตสินค้าที่สูงขึ้น และราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคในชีวิตประจำวันที่แพงขึ้น

ดังนั้นทางธนาคารจึงออกมาตรการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับลูกค้าบุคคลและลูกค้าธุรกิจที่มีวงเงินสินเชื่อแต่ละผลิตภัณฑ์ไม่เกิน 2 ล้านบาท และไม่มีสถานะเป็น NPL โดยมีรายละเอียดมาตรการความช่วยเหลือ ดังนี้ 

1.มาตรการลดยอดผ่อนชำระต่อเดือน 10% ระยะเวลา 12 เดือน ลูกค้าที่เข้าร่วมมาตรการนี้ ได้แก่  ลูกค้าธุรกิจที่ใช้บริการ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ และสินเชื่อเงินด่วนเพื่อธุรกิจ  ลูกค้าบุคคลที่ใช้บริการ สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อเงินด่วน โดยลูกค้าบุคคลและธุรกิจที่สนใจเข้าร่วมมาตราการนี้ สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ธนาคารกสิกรไทยได้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน – 30 ธันวาคม 2565  

2.มาตรการผ่อนชำระขั้นต่ำ 5%ระยะเวลา 12 เดือน ลูกค้าที่เข้าร่วมมาตรการนี้ ได้แก่  ลูกค้าบุคคลที่ใช้บริการ บัตรเครดิต และบัตรเงินด่วน โดยมาตรการนี้จะเป็นการปรับยอดขั้นต่ำให้ลูกค้าโดยอัตโนมัติ ลูกค้าไม่ต้องลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการ 

BBL พร้อมช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อ 

ใช้มาตรการแก้หนี้ให้เหมาะสมกับลูกค้า

นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันที่สภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวจากการบริโภคภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว หลังภาครัฐผ่อนคลายมาตรการต่างๆ แต่จากผลกระทบของสงครามรัสเซียยูเครนทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนและค่าครองชีพสูงขึ้น ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงต้นทุนรายจ่ายดอกเบี้ยที่อาจจะสูงขึ้นในอนาคตสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าธุรกิจ SME และลูกค้าบุคคล ที่ยังได้รับผลกระทบจากการจ้างงาน หรือรายได้ที่ยังไม่ฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด 

โดยธนาคารกรุงเทพมีความห่วงใยในความเดือดร้อนของลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว จึงยังคงดูแลช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่ออย่างตรงจุด ทันการณ์ และได้ผลจริง โดยมีมาตรการเพื่อให้ความช่วยเหลือลูกค้าทุกประเภท ทั้งลูกค้าธุรกิจ และลูกค้าบุคคล เพื่อให้ลูกค้าได้รับความช่วยเหลืออย่างยั่งยืนในระยะยาว สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้

สำหรับแนวทางการให้ความช่วยเหลือลูกค้ามีหลายรูปแบบ โดยพิจารณาให้เหมาะสมกับลูกค้า เช่น การพิจารณาปรับลดยอดผ่อน ขยายระยะเวลาชำระหนี้ ให้ระยะเวลาปลอดหนี้ ปรับลดอัตราดอกเบี้ย โอนทรัพย์ชำระหนี้ ให้สินเชื่อใหม่ การขยายวงเงินบัตรเครดิตจาก 1.5 เท่าเป็น 2 เท่าของรายได้ต่อเดือน นอกจากนี้ยังมีการรวมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อรายย่อยประเภทอื่นที่ไม่มีหลักประกัน (Debt Consolidation)

 

 


โจ๊กเกอร์