วันนี้ Mr.Econ จะมาวิเคราะห์ตลาดของช็อกโกแลตมิ้นท์ หลังจากเกิดเหตุการณ์ "มิ้นช็อก ทุกคนช็อก" ว่าจะเป็นอย่างไรกันบ้าง

กำหนดให้เส้น D คือ Demand ของเมนูช็อกมินท์
S คือ Supply ของเมนูช็อกมิ้นท์ (กำหนดให้เป็นร้านคาเฟ่ หรือร้านค้าปลีก)
เดิมก่อนเกิดเหตุการณ์ "มิ้นช็อก ทุกคนช็อก" ราคาดุลยภาพตลาดอยู่ที่ระดับราคา P1 ณ ปริมาณดุลยภาพ Q1
จากเหตุการณ์ "มิ้นช็อก ทุกคนช็อก" ส่งผลให้ผู้บริโภคหลายคน ไม่อยากจะรับประทานเมนูนี้อีก หลาย ๆ ท่านคอมเมนต์ว่า...
เห็นแล้วจะอ้วก จึงทำให้ปริมาณความต้องการซื้อช็อกโกแลตมิ้นท์ ลดน้อยลง หรือเส้นอุปสงค์เคลื่อนที่ไปทางซ้าย
ขณะที่ฝั่งผู้ขาย มีผู้ขายจำนวนหนึ่ง ที่ประกาศยกเลิกเมนูข้างต้นนี้ โดยเป็นการแสดงจุดยืนทางการเมืองที่หาซื้อกันไม่ได้ ทำให้เส้นอุปทานเคลื่อนที่ไปทางซ้าย
จากการเคลื่อนที่ของอุปสงค์และอุปทานที่เคลื่อนที่ไปทางซ้ายทั้งคู่อาจจะเกิดผลลัพธ์ต่อราคาและปริมาณดุลยภาพได้ดังนี้
1.) กรณี Demand เคลื่อนที่ไปทางซ้ายมากกว่า Supply - ราคาดุลยภาพจะลดลง และปริมาณสินค้าที่ซื้อขายกันจะลดลง
Mr.Econ ขอ Bias ว่าจะเป็นกรณีนี้ในระยะสั้น ที่ทำให้ผู้ขายบางรายอาจจะเคลียร์สต็อคสินค้า และไม่อยากจะขายอีกจึงลดราคาสินค้าลงมา
2.) กรณี Demand เคลื่อนที่ไปทางซ้ายเท่ากับเส้น Supply - ราคาดุลยภาพจะเท่าเดิม แต่ปริมาณสินค้าซื้อขายกันจะลดลง
3.) กรณี Demand เคลื่อนที่ไปทางซ้ายน้อยกว่าเส้น Supply - ราคาดุลยภาพจะสูงขึ้น ขณะที่ปริมาณสินค้าซื้อขายกันจะลดลง
โดยสรุปคือ เมื่อใดก็ตามที่มีการเคลื่อนที่ทั้งอุปสงค์และอุปทานพร้อม ๆ กันจะเกิดผลลัพธ์ได้ทั้งหมด 3 ผลลัพธ์
ทั้งนี้ผู้บริโภคหลาย ๆ ท่านอาจจะเปลี่ยนไปทางกาแฟส้มแทน ที่อาจจะไม่ได้มีลักษณะทดแทนกันได้สมบูรณ์ แต่ทดทนกันได้ทางใจในช่วงนี้
ดังนั้นคำแนะนำในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ในช่วงนี้ ถ้าหากทำแคมเปญลดราคาในสินค้าช็อกมิ้น พร้อมแคมเปญเกร๋ ๆ อาจจะกระตุ้นการซื้อได้บ้าง
แต่ควรมีเมนูกาแฟส้มไว้จัดโปรโมชั่นด้วย เพื่อแสดงจุดยืนการยืนชงขายอย่างชัดเจน
ปล. เส้นอุปสงค์มีความชันน้อย หรือความยืดหยุ่นต่ออุปสงค์มาก เพราะเมนูดังกล่าวเป็นเมนูที่สามารถหาทดแทนได้ง่าย
ขณะที่เส้นอุปทานก็มีความชันน้อย หรือ ความยืดหยุ่นต่ออุปทานน้อยเช่นกัน เพราะต้นทุนในการปรับเปลี่ยนไม่ได้สูงมากนัก และปรับเปลี่ยนง่าย
Trust me, I'm Mr.Econ