ปิดท้ายซีรีส์ "ลงทุนปี 2560" กับมุมมองตลาดหุ้นไทยของ “กวี ชูกิจเกษม” แห่งโบรกเกอร์ค่ายกสิกรไทย ซึ่งประเมินเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 2560 มี Upside "ไม่สูง" หรืออยู่แค่ระดับ 1,570 จุด เนื่องจากคาดว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงในต่างประเทศคอยรุมเร้าต่อเนื่อง ขณะที่หลายปัจจัยลบทางจิตวิทยา กลับยังไม่ได้สะท้อนอยู่ในราคาหุ้น ณ ขณะนี้

คุณกวีได้ยกตัวอย่างความเสี่ยงจากนโยบายของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ว่าที่ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ที่เตรียมขึ้นรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในช่วงกลางเดือน ม.ค. นี้ ที่มีความไม่แน่นอนในการผลักดันนโยบายที่เคยหาเสียง หรือแม้แต่ความเสี่ยงจากปัญหาเศรษฐกิจยุโรปที่อาจลุกลาม จนส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้น โดยในปีหน้าหลายประเทศสมาชิกยุโรปจะจัดการเลือกตั้ง ซึ่งถ้าหากฝ่ายขวาจัดที่ต้องการโหวตออกจากสมาชิกยุโรปได้รับชัยชนะ ก็อาจจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยคล้ายกับ “Brexit” อย่างแน่นอน ซึ่งจะส่งผลมายังค่าเงินในหลายๆ ประเทศ และกระทบต่อความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลก
ในขณะที่ยังมีความเสี่ยงในยุโรป แต่นักลงทุนกลับดูไม่ได้ให้น้ำหนักมาก แม้ปัจจุบันอัตราหนี้เสียหรือ NPL เร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะธนาคารยักษ์ใหญ่อย่างดอยซ์แบงก์ ที่ล่าสุดสถานะการเงินเริ่มย่ำแย่ ซึ่งถ้าหากเกิดความเสียหายอย่างมาก ผลกระทบที่เกิดขึ้นคงไม่ต่างกับ “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์” ซึ่งเป็นผลจากกรณี “เลห์แมน บราเธอร์ส” ของสหรัฐฯ อย่างที่ผ่านมา
อีกประเทศยักษ์ใหญ่ที่กำลังซ่อนความเสี่ยงไว้ในมุมมองของคุณกวี ก็คือ จีน ล่าสุดพบความร้อนแรงในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังดำเนินต่อ ทำให้ต้องจับตาว่าทางการจีนจะออกมาตรการควบคุมหรือไม่ และประเด็นที่สำคัญก็คือจีนอาจจะมีศักยภาพปกป้องค่าเงินของตนลดลงหรือไม่ เพราะพบว่าปัจจุบันเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนลดลงอย่างต่อเนื่องแทบจะทุกเดือน
เช่นเดียวกับภาวะหนี้ภาคเอกชนและธนาคารในจีนที่เพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน จึงทำให้เกิดคำถามขึ้นว่าการที่เงินทุนสำรองที่ลดลง จะเพียงพอต่อการดูแลค่าเงินหยวนและเศรษฐกิจในประเทศได้อีกนานเพียงใด?
ความเสี่ยงสุดท้าย คุณกวีชี้เป้าไปยังความเสี่ยงการก่อการร้ายระหว่างประเทศ ที่กำลังคุกรุ่นขึ้นตามลำดับ
ปัจจัยเสี่ยงทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เขามองว่าตลาดยังไม่ได้รับรู้มากนัก แต่ผลกระทบในระยะสั้น คุณกวีเชื่อว่าคงไม่ถึงขั้นทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเข้าสู่ภาวะหดตัว เพราะสัญญาณต่างๆ ยังบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในช่วงฟื้น สังเกตได้จากอัตราเงินเฟ้อที่ค่อยๆ ปรับตัวขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อสินทรัพย์เสี่ยงจากการที่สภาพคล่องในตลาดโลกสูงขึ้น เอื้อให้นักลงทุนยังเข้าหาสินทรัพย์ที่ได้รับผลตอบแทนสูง
คุณกวีเตือนให้นักลงทุนยังต้องใช้ความระมัดระวัง แม้ว่าจะลงทุนแบบระยะยาว 2-3 ปี เพราะเป็นความเสี่ยงที่อาจนำมาสู่วิกฤตในอนาคตได้ โดยให้สังเกตจากภาวะเงินเฟ้อ หากเร่งตัวมาก ดอกเบี้ยขึ้นสูง บางประเทศอาจไม่สามารถรองรับได้ เช่น กรณีจีนที่มีภาระหนี้สูง หากดอกเบี้ยขึ้น เงินเฟ้อขึ้น สวนทางกับความสามารถทำธุรกิจ ก็จะทำให้เกิดปัญหาอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับ บริษัทในสหรัฐฯ แม้จะมีโอกาสเติบโตสูง แต่ก็ต้องจับตาว่าจะสามารถทนทานต่อภาวะดอกเบี้ยปรับขึ้นได้อีกนานแค่ไหน?
ในส่วนของตลาดหุ้นไทย คุณกวีมองว่าตลาดสะท้อนแต่ปัจจัยบวก ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการลดภาษีบุคคลธรรมดา ลดภาษีนิติบุคคล การกระตุ้นลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน แม้นโยบายเหล่านี้ยังมีความเสี่ยงถ้าหากดำเนินการไม่สำเร็จ ซึ่งจะมีผลต่อตลาดพันธบัตร และเชื่อมโยงมาถึงฐานะการคลังภาครัฐอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ผมมองว่าหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจ แม้จะมีความเสี่ยงที่มากก็ตาม และ Upside มีแค่จำกัด เราให้กรอบ downside SET index ที่ 1,400 จุด ส่วนกรอบบน เรามองไว้ที่เป้า 1,570 จุด จนถึง 1,600 จุดบวกลบ นักลงทุนควรจับจังหวะการแกว่งตัวในกรอบนี้เข้าลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม อยากเตือนว่าต้องระมัดระวังสูง เพราะตอนนี้เรากำลังเล่นในช่วงตลาดกำลังจะพีคแล้ว ซึ่งผมคิดว่าหุ้นไทยน่าจะทำได้อีกสักหนึ่งรอบ ในช่วงเงินเฟ้อมา น้ำมันวิ่งขึ้น ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสขึ้นทำนิวไฮอีกครั้งก็เป็นไปได้ แม้จะไม่ใช่ปีหน้า แต่อาจจะเป็นปีถัดไป”
สำหรับธีมการลงทุนในหุ้นไทย ปัจจุบันมีหุ้นบิ๊กแค็ป 2 กลุ่มที่คุณกวีมองว่าราคายังถูก นั่นคือ กลุ่มพลังงานและธนาคาร ซึ่งมองว่าได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดแล้ว และคาดปีหน้าจะฟื้นตัวได้ชัดเจน โดยหุ้นเด่นเลือก SCB , PTTEP และ BANPU
สำหรับหุ้นกลุ่มอิงบริโภคในประเทศ ที่เริ่มฟื้นตามราคาสินค้าเกษตร เขาให้หุ้น “top pick” คือ GLOBAL, BIG, MEGA, TKN, BEAUTY, CPALL และ CPN
ตามามาด้วย กลุ่มโรงพยาบาล ที่ให้หุ้นเด่นคือ BH
ส่วนกลุ่มท่องเที่ยว แม้จะโดนผลกระทบ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ฉุดกลุ่มลูกค้าทัวร์จีน แต่ปัจจุบันได้เริ่มส่งสัญญาณบวกมากขึ้น คุณกวีให้หุ้นเด่นคือ MINT และ CENTEL
ส่งท้ายด้วยหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง หุ้นเด่นคือ CK และ STEC และหุ้นที่ได้ผลบวกทางอ้อม ได้แก่ SEAFCO PYLON และ ARROW เป็นต้น
Credit - Money Channel