ห้องเม่าปีกเหล็ก

สรุป 14 ประเด็นจากฟอรั่มใหญ่แห่งปี "The Standard Economic Forum"

โดย คนเล่นหุ้น
เผยแพร่ :
61 views

ที่มา : Seminar knowledge by Amorn

Image may contain: 3 people, indoor

ทีม Baramizi Lab ได้ทำการติดตามครบทั้งหมดทุกเวที และสามารถสรุปประเด็นที่น่าสนใจที่เกิดการพูดคุยซ้ำๆ กันเรียกได้ว่าเป็นประเด็นที่มีการ Cross วงการเกิดขึ้นจึงตีความได้ว่าเป็นแนวโน้มที่ต้องเกิดขึ้นตามมาอย่างแน่นอนจากการเห็นความซ้ำของมุมมองความเห็นผู้เชี่ยวชาญซึ่งอยู่ในแวดวงของตัวเอง แต่ต่างพูดถึงประเด็นเดียวกันในบริบทที่แตกต่างกันต่างคนต่างวาระกันไป ประเด็นที่น่าสนใจทั้งหมด Baramizi Lab ขอรวบรวมมาให้เพื่อนๆ ได้เรียนรู้ร่วมกัน ดังนี้ค่ะ

 

1. “โลกาภิวัฒน์เป็นเสี่ยงเสี้ยว”
ในความหมายคือ การที่โลกของเราเป็นโลกาภิวัฒน์ (Globalization) อย่างมากในทุกวันนี้ แม้จะเกิดเหตุการณ์ COVID-19 แล้วทำให้เกิดการปิดพรมแดนธุรกิจเผชิญกับความท้าทาย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าโลกจะกลับไปอยู่จุดเดิมคือโลกาภิวัฒน์ล่มสลายทุกคนขาดการเชื่อมต่อ วิทยากรให้มุมมองว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่โลกจะกลับไปอยู่จุดเดิมถึงเพียงนั้น เพียงแต่มันน่าจะเป็นการแปรเปลี่ยนรูปแบบไปคือแทนที่จะเชื่อมโลกทั้งใบหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน จะกลายเป็นหลอมรวมเชื่อมโยงเป็นกลุ่มๆ และเกิดการกระจายความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น และต้องเกิดความร่วมมือระดับเครือข่าย ระดับภูมิภาคมากขึ้น บางท่านใช้คำว่า “ภูมิภาคนิยม” ต้องคบหากันแบบอบอุ่นใกล้ชิดมากขึ้น ตลอดจนเวทีระดับภูมิภาคอาจเปิดโอกาสให้มีเวทีภาคสังคมมากขึ้นไม่เพียงแต่ระดับผู้นำอีกต่อไป

--------------

2. “ระเบียบโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง”
โลกอาจจะยังหาผู้นำที่ชัดเจนไม่ได้ และเกิดสงครามเย็น (Cool War) ไทยเราอาจจะต้องเริ่มมีมุมมองเลิกพึ่งพาประเทศขนาดใหญ่และพึ่งพากันเองให้ได้ในระดับใกล้ๆ ตลอดจนอาจมีบทบาทเข้าไปช่วยองค์กรระดับโลกสร้างจุดยืนที่ชัดเจน ไม่เป็นประเทศที่รอการช่วยเหลือ

--------------

3. “การว่างงานจะเป็นปัญหาสำคัญมากๆ หลังจากนี้”
การมุ่งโฟกัสที่นโยบายการจ้างงานต่างๆ อาจเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศได้อย่างมีพลัง

--------------

4. ถอดบทเรียนประเทศที่ประสบความสำเร็จในการจัดการกับวิกฤตการณ์ที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้ คือ
1) ระบบการปกครองประชาธิปไตยที่เอื้อให้เกิดการ Free Flow of Communication
2) ระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ
3) ผู้นำที่ดีและมีประสิทธิภาพ
ซึ่งปัญหาสำคัญที่สุดที่ทุกภาคส่วนเล็งเห็นจากประเทศไทยในวิกฤตการณ์ครั้งน้ี คือ “ระบบราชการที่ขาดประสิทธิภาพ” และสมควรอย่างยิ่งที่จะต้อง “ปฏิรูประบบราชการ” ทั้งหมด

--------------

5. “Empathy ไปในทุกวงการ"
ตั้งแต่วงการธุรกิจที่ตื่นตัวเรื่องนี้มาในระดับหนึ่งอยู่แล้วในการเข้าใจและเห็นอกเห็นใจลูกค้าที่นำมาสู่การนำเสนอนวัตกรรมที่ตอบโจทย์และนำไปสู่ความสำเร็จ แต่ในเวทีครั้งน้ี เราได้เห็น เทรนด์ของการเมืองที่พบว่าสไตล์ของผู้นำที่มาแรงในช่วงเวลานี้ซึ่งพิสูจน์ด้วยผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมในการจัดการกับปัญหาคือสไตล์ที่เรียกว่า “Lead with Empathy” ซึ่งพบว่าประเทศที่โดดเด่นในการแก้ปัญหา อันได้แก่ ไต้หวัน, เกาหลีใต้ และนิวซีแลนด์ ต่างก็เป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น ซึ่งต่างกับสไตล์ที่โดดเด่นในอดีตอย่าง “Strong Man” เช่น ทรัมป์ ดูเตเต้ หรือ สีจิ้นผิง
--------------

6. “Trust ก็เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงในทุกวงการ"
"Trust Economy” “Trust Politic” ซึ่งความไว้เนื้อเชื่อใจนี้ เกิดจาก 2 ส่วนหลักๆ
1) ไว้เนื้อเชื่อใจว่าจะจริงใจ โปร่งใส ตรวจสอบได้
2) ไว้เนื้อเชื่อใจในความสามารถและประสิทธิภาพ (กรณีภาครัฐหรือองค์กร) หรือหากเป็นสินค้าและบริการก็เป็นการไว้ในเชื่อใจในความสะอาดและปลอดภัย ที่จะยกระดับความสำคัญขึ้นมากๆ จากนี้ไป
ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า “อาหารปลอดภัย” อาจจะกลายเป็นโอกาสสำคัญที่มี Demand อย่างไม่จำกัดทั่วโลก ส่วนการบริการ “Contactless” จะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้าง Trust ตลอดจนการสร้างให้ประเทศไทยกลายเป็น “Hygene Destination” ซึ่งอาจจะต้องยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทั่วทุกระดับโดยรัฐควรต้องเป็นผู้ช่วยจะสามารถนำไปสู่การสร้างแบรนด์ประเทศ “Amazing Trusted Thailand” ได้ในที่สุด

--------------

7. “ควรใช้โอกาสนี้ Rebranding ประเทศไทย” ในทุกระดับ
1) National Image Management
2) Government Image
3) Corporate Image
4) Product Image
5) People Image
ภาคธุรกิจแทบทุกวงการล้วนต้องการให้ภาครัฐสร้างทิศทางที่ชัดเจนให้ประเทศโดยกลุ่ม Value ที่โดดเด่นที่สุดในการเสวนาทั้งหมดครั้งนี้ คือความโดดเด่นด้านการสาธารณสุขของประเทศเรา อาทิ “Wellness Destination” “Medical Tourism” สร้าง “Health & Wealth Ecosystem” “Blue of Longevity” ซึ่งเมื่อคิดและตัดสินใจเลือกได้แล้ว ควรคิดและขจัดเงื่อนไขต่างๆ ให้ได้ทั้งระบบ

--------------

8. “ประเทศไทยควรมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนที่จะชี้นำว่าเรื่องอะไรที่เราจะทำและเรื่องอะไรที่เราจะไม่ทำ” มิใช่ทำทุกเรื่องอย่างไม่มีทิศทาง โดยเรื่องที่หลายเวทีเห็นตรงกันว่าเราโดดเด่น และเราควรทำประกอบด้วย
1) Healthcare & Wellness ด้านสุขภาพ
2) การท่องเที่ยว/ Culture & Local Experience
3) Food ด้านอาหาร
นอกจากนี้จุดแข็งข้อได้เปรียบอีกส่วนของประเทศไทยคือ “Corridoor” การที่เรามีตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ในการเชื่อมอินเดียและจีน และเมื่อมีทิศทางที่ชัดเจนแล้วก็ควรมีการดำเนินการผ่านนโยบายและกฎหมายที่โฟกัสและมีประสิทธิภาพจริงๆ ซึ่งในทุกวันนี้ยังไม่เป็นอย่างนั้น

--------------

9. “Digitalization”
จะต้องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม สำคัญมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมด้วย Objective สำคัญคือ
1) เร็วขึ้น
2) โปร่งใสขึ้น และ
3) ยืดหยุ่นมากขึ้น
โดยการเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่ความสำเร็จคือ เปลี่ยนด้วย “Value” หรือการให้ “คุณค่า” ที่ตอบโจทย์อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงเปลี่ยนเพราะการบังคับ หรือ “Friction” COVID-19 เป็นเหมือน Wake up Call แต่จะก้าวไปต่ออย่างยั่งยืนอยู่ที่เรา สำหรับในระดับประเทศ Thailand 4.0 จะเกิดได้จริงๆ ต้องเริ่มจาก Mindset -> Skill -> แล้วจึง Technology ตลอดจนตัวบทกฎหมายทั้งหมดที่ต้องตั้งอยู่บนความเข้าใจและความรู้ที่แท้จริงมากกว่านี้

--------------

10. “สร้างคนสำหรับอนาคต ต้องสรัางที่ Skill กับ Mindset” ประเทศไทย
ต้องแก้กันที่ระดับ Mindset “Leadership” “Entrepreneur” “Global Mindset” “Outward Mindset” ซึ่งควรปรับกันในทุกระดับตลอดจนรัฐและราชการเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ ด้าน “Skill” ที่สำคัญในโลกยุคนี้คือ “Life Long Learning” กล่าวคือ ต้อง Passion ที่จะเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง

--------------

11. “Retail ในหลักคิดยุคใหม่ต้องเป็น No Channel”
กล่าวคือ ต้อง Seamless ทั้งหมดไปกับชีวิตของลูกค้าเชื่อมโยงทุก Platform เข้าด้วยกันและ Physical Place ยังคงเป็นอะไรที่ตอบโจทย์คุณค่าของการเป็นสัตว์สังคมของมนุษย์ ต้องตีโจทย์ให้ออกและสร้างประสบการณ์ที่ขับเน้นโจทย์นั้นออกมาให้ได้

--------------

12. “Speed” “Flexibility” “Adaptability” “Resilience” “Agile”
คือ หัวใจความสำเร็จขององค์กรยุคใหม่ ซึ่งทั้งหมดต้องมาจาก “Data & Insight” ที่ต้องกลายเป็นทักษะที่สำคัญขององค์กร

--------------

13. “วิกฤตการณ์นี้เราควรตระหนักถึงความรับผิดชอบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น”
มีความพอเพียงและรักษาสมดุลมากยิ่งขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าในวิกฤตการณ์ครั้งนี้อาจจะทำให้การเดินหน้าของอุตสาหกรรมสำคัญที่เป็นทางเลือกในการดูแลสิ่งแวดล้อมชะลอการเติบโตลงอันเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้ความคุ้มค่าในการลงทุนของภาคธุรกิจเป็นไปได้ยากลำบากขึ้น

--------------

14. "มองโอกาสในการบริโภคที่เพิ่มขึ้นด้วยการพัฒนาประสบการณ์ แต่ต้องไม่ลืมว่าคนบนโลกนี้จะจนลงมาก"
การรังสรรค์หรือพัฒนา Product & Service ต่างๆ ซึ่งอาจจะสอดรับกับความปกติใหม่และความต้องการใหม่ๆ ของชนชั้นกลาง แต่อย่างไรต้องไม่ลืมว่าจากวิกฤติการณ์ครั้งนี้ “คนจะจนลง” และ “กลุ่มผู้บริโภคชั้นกลางที่สามารถเข้าถึงการเสพเหล่านี้ได้นั้นจะมีปริมาณลดลง” ในทางกลับกันคือ กลุ่มรายได้น้อยจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากซึ่งอาจเป็นโอกาสในอีกรูปแบบหนึ่งก็เป็นได้

ประเด็นทั้งหมดนี้ เกิดจากมุมมองที่หลากหลายในบริบทที่แตกต่างแต่ล้วนได้ผลลัพธ์ในรูปแบบที่ใกล้เคียงกัน มันมีความหนักแน่น สวยงาม เปี่ยมไปด้วยพลังและความหวัง จนอยากที่จะเชียร์อยากแชร์ให้ผู้นำในทุกระดับของประเทศไทยร่วมเดินหน้าต่อไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีพลังจริงๆ ค่ะ :)

สรุปประเด็นโดยคุณปรมา ทิพย์ธนทรัพย์ - ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทรนด์และคอนเซปต์แห่งอนาคต บารามีซี่ แล็บ :: #BaramiziLab

สำหรับท่านใดต้องการรับฟังสรุปเนื้อหาแต่ละช่วง สามารถติดตามช่องทาง The Standard ได้เลยค่ะ

ขอขอบคุณ The Standard มา ณ โอกาสนี้.
#TheStandardEconomicForum
Cr: fwd line


คนเล่นหุ้น