เจาะลึกการเงินการลงทุนไทยปี 2562
แบงก์ชาติเผยปี 2562 ภาวะการเงินโลกผันผวนสูง จากการปรับนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติ (Normalization) และปัญหาสงครามการค้า เผยไทยต้องปิดจุดเปราะบางและเร่งสร้างภูมิคุ้มกัน พร้อมผ่อนเกณฑ์กำกับดูแลสถาบันการเงินให้เอื้อต่อการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล ด้านตลาดหลักทรัพย์เดินหน้าสร้างความเชื่อมโยงด้วย Open Platform ยกระดับประสิทธิภาพระบบงานก้าวสู่ Digital Exchange แนะนักลงทุนปรับตัวรับเทคโนโลยีเปลี่ยน
ภาคตลาดเงินตลาดทุนไทยในปี 2562 ยังต้องรับมือกับความผันผวนของตลาดการเงินโลกที่มีปัจจัยรุมเร้ามากมาย จึงถือเป็นภารกิจหลักของ 2 คีย์แมนผู้กำกับดูแล ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และ ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่จะต้องดำเนินนโยบายเพื่อให้ตลาดเงินและตลาดทุนไทยเติบโตต่อไปได้อย่างแข็งแกร่ง
ธปท.เผยตลาดการเงินโลกผันผวน
แต่ไม่ถดถอยรุนแรงหรือ Recession
ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เมื่อธนาคารกลางทั่วโลกมีการปรับนโยบายการเงินเพื่อกลับสู่ภาวะปกติ (Normalization) จะส่งผลให้ตลาดเกิดความผันผวนสูงขึ้น เพราะการที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องมานานมาก ก่อให้เกิดพฤติกรรมการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงโดยประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร เช่น การกู้เงินมาเพื่อลงทุนในผลตอบแทนที่สูงกว่า มีการคิดค้นเครื่องมือการลงทุนที่สร้างผลตอบแทน เช่น อนุพันธ์ (Derivative) ที่มีความเสี่ยงสูง หรือหากลยุทธ์เพื่อเพิ่มผลตอบแทนในการลงทุน (Yield Enhancement) มาโดยตลอด ซึ่งเมื่อนโยบายการเงินเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติจึงมีความอ่อนไหว จนทำให้ตลาดการเงินโลกผันผวน
ขณะเดียวกัน มีปัจจัยที่เข้ามากระทบกับตลาดการเงินเพิ่มขึ้น โดยแต่เดิมนั้นตลาดการเงินโลกจะเคลื่อนไหวตามปัจจัยเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) แต่เมื่อสหรัฐประกาศทำนโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมและดำเนินนโยบายขาดดุล ส่งผลให้ความต้องการเงินทุนมีมากขึ้น ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นในช่วงสภาพคล่องของตลาดโลกตึงตัว
นอกจากนี้ยังมี ประเด็นเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่จะต้องติดตาม รวมทั้งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มมาทั้งเรื่อง Brexit ของอังกฤษ และการประท้วงในยุโรปหรือตะวันออกกลาง ซึ่งล้วนเป็นประเด็นที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดในภาวะที่สภาพคล่องตึงตัว จึงสร้างความผันผวนให้กับตลาดทุนตลาดเงินทั่วโลกเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ ตามเศรษฐกิจภาพใหญ่ในหลายประเทศโดยเฉพาะประเทศอุตสาหกรรมหลัก นับว่ายังมีความเข้มแข็ง ด้านอัตราการว่างงานในสหรัฐต่ำสุดในรอบ 40 ปี ขณะที่การบริโภคเอกชนยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่อาจจะเริ่มมีแรงกดดันเรื่องค่าจ้างแรงงานที่ส่งผลต่อเงินเฟ้อในอนาคต ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้ธนาคารกลางหลายแห่งเริ่ม Normalization นโยบายการเงิน เพื่อสร้างขีดความสามารถในการดำเนินนโยบาย(Policy Space)
“การดำเนินนโยบายดอกเบี้ยต่ำมานานๆ จะสร้างผลข้างเคียงมาก โดยเฉพาะเรื่องหนี้ที่มีมากเกินไป เศรษฐกิจที่โตเพราะหนี้เป็นจุดเปราะบางในตลาดเงินตลาดทุน สภาวะแบบนี้ ธปท.พยายามระมัดระวังไม่ให้เกิดขึ้น จึงต้องดูแลดอกเบี้ยที่เป็นต้นทุนของเงิน ให้อยู่ในระดับราคาที่เหมาะสม เพราะต้นทุนของเงินเมื่อต่ำเกินไปจะทำให้เกิดปัญหาด้านเสถียรภาพได้”
อย่างไรก็ตาม ดร.วิรไทมองว่า สถานการณ์ตลาดการเงินของโลกในปัจจุบันยังไม่ได้นำไปสู่การถดถอยขั้นรุนแรง หรือ Recession เหมือนตอนวิกฤติการเงินโลก (Global Financial Crisis) ในอดีต เพราะเป็นการเติบโตที่ชะลอตัวลง แตกต่างจากวิกฤติครั้งก่อนที่เศรษฐกิจทั้งโลกหดตัว มีอัตราว่างงานมากมาย ซึ่งหลังวิกฤติที่ผ่านมา หลายประเทศมีการปฏิรูปโครงสร้างของตัวเองให้ดีขึ้น และระบบสถาบันการเงินเข้มแข็งขึ้นมาก โดยมีการปฏิรูปกฎเกณฑ์กำกับดูแลมากกว่าเดิม
“สถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้มีฟองสบู่ใหญ่ๆ ที่จะลากระบบแบงก์ให้เกิดวิกฤติอีก แต่อาจจะมีผลทางจิตวิทยาต่อผู้ที่ต้องทำหน้าที่บริหารการลงทุนทั้งเทรดเดอร์และผู้จัดการกองทุนที่ไม่ได้เจอภาวะที่ดอกเบี้ยขาขึ้นมานานติดต่อกันเป็น 10 ปี”
ตลาดหลักทรัพย์ฯชี้พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังดี
ชูจุดเด่นธุรกิจ Well-Being Economy
ด้านทิศทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยผ่านตลาดทุนในปี 2562 โดยมีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นผู้นำองคาพยพ ท่ามกลางประเด็นความท้าทายทั้งจากต่างประเทศและการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมในตลาดทุน
ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัวและขยายตัวยาวนานมาก นับตั้งแต่เกิดวิกฤติซับไพร์ม ซึ่งการฟื้นตัวรอบนี้ที่กอนระยะเวลายาวนานมาจากหลายปัจจัยที่ไม่ปกติ ไม่ว่าจะเป็นการที่ธนาคารกลางต่างๆ ขยายงบดุล (Balance Sheet) ด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาในระบบ การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับต่ำ ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้มีสภาพคล่องอยู่ในระดับสูงและกระทบกลไกของตลาดโลก จนกระทั่งช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา นโยบายการเงินของธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีการเติบโตที่ดีมาก
“ภาพเศรษฐกิจโลกในปี 2562 มีแนวโน้มที่การเติบโตจะชะลอตัวลงจากหลายปัจจัย ทั้งประเด็นทางการค้าที่ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อประเทศที่เป็นผู้ส่งออกและผู้นำเข้า โดยประเทศที่พึ่งพาเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างสหรัฐฯ อาจจะไม่ค่อยมีผลกระทบมาก ขณะที่เศรษฐกิจจีนพึ่งพาการส่งออกมากกว่า สำหรับประเทศไทยมีโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างสมดุล เพราะมีทั้งภาคการส่งออก การลงทุน การบริโภคในประเทศ และการท่องเที่ยว”
อย่างไรก็ตาม ภาคการส่งออกที่เคยเติบโตในระดับสูงอาจจะถูกทดแทนด้วยภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ที่ขยายตัวมากขึ้น ดังนั้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจึงมีการปรับเปลี่ยน Sector หรือภาคเศรษฐกิจที่เป็นตัวขับเคลื่อน เช่น กลุ่ม Well-being Economy ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยว โรงพยาบาล ธุรกิจภาคบริการ รวมถึงการบริโภค และ Sector เหล่านี้ในประเทศไทยมีความแข็งแรงมาก มีบริษัทที่สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก รวมถึงสามารถต่อยอดไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ ได้ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ก็ต้องช่วยทำให้จุดแข็งตรงนี้เป็นที่รับรู้เพิ่มมากขึ้น
“จุดเด่นอีกประการหนึ่งของการเติบโตจากธุรกิจกลุ่ม Well-Being Economy คือ นอกจากจะมาจากตลาดในประเทศแล้ว ยังเชื่อมโยงกับตลาดประเทศเพื่อนบ้านใน CLMV เพราะบริษัทจดทะเบียนไทยหลายแห่งออกไปลงทุนทำธุรกิจและมีรายได้มาจากประเทศเพื่อนบ้าน”
อีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ คือ การลงทุนภาครัฐ ทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและเมกะโปรเจ็กต์ EEC ซึ่งจะเป็นผลดีต่อประเทศในระยะยาว และมีผลเชิงบวกที่จะเห็นได้ก่อนคือ การใช้จ่ายของภาครัฐ เพราะอย่างน้อยที่สุดจะมีการจ้างแรงงานและการลงทุนก่อสร้าง
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก..