ห้องเม่าปีกเหล็ก

อนาคตไต้หวัน หากสหรัฐดึงอุตฯ เซมิคอนดักเตอร์ กลับประเทศ ?

โดย 98 Degree
เผยแพร่ :
92 views

อนาคตไต้หวัน หากสหรัฐดึงอุตฯ เซมิคอนดักเตอร์ กลับประเทศ ?

By สาธิต สูติปัญญา

  • ทรัมป์ประกาศนโยบายดึงการผลิตชิปกลับสู่สหรัฐ พร้อมขู่เก็บภาษีนำเข้า 100% จากไต้หวัน และต้องการรื้อ CHIPS Act ของไบเดน
  • TSMC ครองส่วนแบ่งการผลิตชิปขั้นสูงถึง 90% ของตลาดโลก ขณะที่ Intel ของสหรัฐประสบปัญหาการแข่งขัน
  • อุตฯ อิเล็กทรอนิกส์คิดเป็น 63% ของ GDP ไต้หวัน โดย TSMC มีรายได้คิดเป็น 58% ของการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด
  • ทรัมป์ผลักดันให้ TSMC เข้าบริหารโรงงานผลิตชิปของ Intel ในสหรัฐ เพื่อฟื้นฟูอุตฯ เซมิคอนดักเตอร์ของอเมริกา
  • ไล่ ชิง-เต๋อ ตอบสนองด้วยการขยายการลงทุนในสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็น 40% ของการลงทุนต่างประเทศทั้งหมด

 

ความตึงเครียดในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลกทวีความรุนแรง เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศนโยบายดึงการผลิตชิปกลับสู่สหรัฐอเมริกา พร้อมขู่เก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 100% กับสินค้าจากไต้หวัน ประเทศที่ครองความเป็นผู้นำในการผลิตชิปขั้นสูงของโลก

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่เพียงสั่นคลอนความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ แต่ยังอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคที่ชิปประมวลผลกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์และอุตสาหกรรมดิจิทัล และหนึ่งในท่าทีของทรัมป์หลังจากเข้ารับตำแหน่งคือการ “รื้อ” กฎหมาย CHIPS and Science Act หรือที่รู้จักในชื่อ CHIPS Act ของอดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน

ความลักลั่นของ “CHIPS Act”

CHIPS and Science Act เป็นกฎหมายที่ผ่านการอนุมัติในปี 2022 ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีไบเดน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยงบประมาณสนับสนุน 39,000 ล้านดอลลาร์ จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐพบว่า CHIPS Act มีการจัดสรรเงินสนับสนุนให้กับบริษัทต่างๆ เช่น HPI Federal LLC ได้รับเงินสนับสนุนถึง 53 ล้านดอลลาร์เพื่อขยายและปรับปรุงโรงงานในเมือง Corvallis รัฐโอเรกอน โดยเงินสนับสนุนจะถูกจ่ายตามความสำเร็จของเป้าหมายโครงการ

ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงจุดยืนคัดค้าน CHIPS Act อย่างชัดเจน โดยมองว่าการใช้เงินอุดหนุนจำนวนมากเป็นนโยบายที่ไม่เหมาะสม ในการประชุมกับสมาชิกพรรครีพับลิกันเมื่อปลายเดือนมกราคม ทรัมป์กล่าวว่าต้องการให้บริษัทเซมิคอนดักเตอร์กลับมาผลิตในสหรัฐ แต่ไม่เห็นด้วยกับการให้เงินสนับสนุนหลายพันล้านดอลลาร์ โดยเสนอให้ใช้มาตรการภาษีแทน นอกจากนี้ ฮาวเวิร์ด ลัทนิค ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในรัฐบาลทรัมป์ ยังปฏิเสธที่จะให้คำมั่นว่าจะรักษาข้อตกลงที่บริษัทต่างๆ ได้ทำไว้กับรัฐบาลก่อนหน้านี้ด้วย

ภายใต้ CHIPS Act บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งได้รับเงินสนับสนุนอย่าง Intel ได้รับเงิน 7.9 พันล้านดอลลาร์สำหรับโครงการในสี่รัฐ และอีก 3 พันล้านดอลลาร์สำหรับการผลิตชิปให้กับกองทัพสหรัฐ ขณะที่ TSMC ได้รับเงินสนับสนุนถึง 6.6 พันล้านดอลลาร์สำหรับการสร้างโรงงานสามแห่งในฟีนิกซ์ อย่างไรก็ตาม เงินสนับสนุนเหล่านี้จะถูกจ่ายเป็นงวดตามความสำเร็จของเป้าหมายโครงการ โดย Intel ได้รับเงินไปแล้ว 2.2 พันล้านดอลลาร์ และ TSMC ได้รับไป 1.5 พันล้านดอลลาร์ก่อนที่รัฐบาลทรัมป์จะเข้ามาบริหารประเทศ

หลังจากเข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์แสดงความกังวลอย่างมากต่อบริษัทที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act แต่ยังคงขยายการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะในจีน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกรณีของ Intel ที่ประกาศลงทุน 300 ล้านดอลลาร์ในโรงงานประกอบและทดสอบในจีนเมื่อเดือนตุลาคม หลังจากที่ได้รับเงินสนับสนุนจำนวนมากจาก CHIPS Act ในเดือนมีนาคม นอกจากนี้ บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act อย่าง TSMC, Samsung Electronics และ SK Hynix ต่างก็มีโรงงานผลิตขนาดใหญ่ในจีน แม้ว่ากฎหมาย CHIPS Act จะอนุญาตให้มีการลงทุนในจีนได้ แต่การดำเนินการดังกล่าวก็ขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการส่งเสริมการผลิตภายในสหรัฐอเมริกา

ศึกหนักระหว่าง TSMC และ Intel

ทั้งนี้ TSMC ครองส่วนแบ่งการผลิตชิปขั้นสูงถึงร้อยละ 90 ของตลาดโลก ซึ่งเป็นชิปที่ใช้ในอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง บริษัทเป็นผู้ผลิตให้กับ Apple Nvidia และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่นๆ การที่ TSMC มีความเชี่ยวชาญในการผลิตชิปขั้นสูงทำให้ไต้หวันมี "โล่ซิลิคอน" หรือ Silicon Shield ที่ช่วยป้องกันการรุกรานทางทหารจากจีน และดึงดูดการสนับสนุนจากสหรัฐ

ในทางกลับกัน Intel ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐ กลับประสบปัญหาในการแข่งขัน บริษัทล้มเหลวในการพัฒนาชิปสำหรับสมาร์ทโฟนและปัญญาประดิษฐ์ แม้จะได้รับเงินสนับสนุนจำนวนมากจากรัฐบาลไบเดนผ่าน CHIPS Act แต่ Intel ก็ยังคงประสบปัญหาทางการเงิน ต้องลดการจ้างงานและจำกัดแผนการขยายธุรกิจทั่วโลก

ด้วยเหตุนี้ ทรัมป์ได้ดำเนินการหลายประการเพื่อฟื้นฟู Intel และอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐ รวมถึงการสนับสนุนการเจรจาระหว่าง Intel และ TSMC เพื่อให้ TSMC เข้ามาบริหารโรงงานผลิตชิปของ Intel ในสหรัฐ โดยมีแผนการแยกธุรกิจการผลิตออกจากการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ Intel ซึ่ง TSMC อาจเข้าถือหุ้นส่วนใหญ่ในธุรกิจร่วมกับนักลงทุนกลุ่มอื่น ท่ามกลางคำกล่าวของรองประธานาธิบดี เจดี เเวนซ์ ที่ประกาศว่าระบบ AI ที่ทรงพลังที่สุดจะต้องสร้างในสหรัฐ ด้วยชิปที่ออกแบบและผลิตในอเมริกา

TSMC = ไต้หวัน (?)

หากนโยบายของทรัมป์สำเร็จ นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งมองว่า ผลกระทบต่อไต้หวันอาจรุนแรง เนื่องจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เป็นเสาหลักของเศรษฐกิจไต้หวัน การสูญเสียฐานการผลิตไปยังสหรัฐ จะกระทบต่อการจ้างงาน การลงทุน และรายได้จากการส่งออก นอกจากนี้ ไต้หวันอาจสูญเสียโล่ซิลิคอนที่ช่วยป้องกันการรุกรานจากจีน ซึ่งอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐ และอำนาจต่อรองในเวทีระหว่างประเทศ

อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไต้หวัน โดยการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์คิดเป็นสัดส่วนถึง 63% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ในจำนวนนี้ TSMC มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง โดยในปี 2020บริษัทมีรายได้ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวัน คิดเป็น 58% ของการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดของประเทศ ที่น่าสนใจคือมูลค่าตลาด (Market Capitalization) ของ TSMC เพิ่มขึ้น 60% ในปี 2020 จนมีมูลค่าสูงถึง13.7 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวัน หรือเกือบครึ่งหนึ่งของ GDP ประเทศที่มีมูลค่า 9.6 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวัน

ท่าที ไล่ ชิง-เต๋อ ต่อทรัมป์

รัฐบาลและภาคเอกชนไต้หวันได้ตอบสนองต่อสถานการณ์นี้ โดยประธานาธิบดีไล่ ชิง-เต๋อ ประกาศว่าจะร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมเพื่อพัฒนายุทธศาสตร์ตอบสนองต่อข้อกังวลของทรัมป์ พร้อมทั้งเตรียมแผนการเจรจากับสหรัฐ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของไต้หวัน ในขณะที่ TSMC ก็ได้ขยายการลงทุนในสหรัฐ โดยสร้างโรงงานสามแห่งในฟีนิกซ์ และพยายามอธิบายถึงประโยชน์ของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันต่อสหรัฐ

หนึ่งท่าทีที่ชัดเจนที่สุดคือ เมื่อวันศุกร์ที่ 14 ก.พ. ไล่ประกาศมาตรการเชิงรุกหลายประการ โดยเน้นย้ำว่าไต้หวันเป็น "พันธมิตรที่ขาดไม่ได้" สำหรับสหรัฐในการฟื้นฟูภาคการผลิตและเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีขั้นสูง

เขาประกาศแผนขยายการลงทุนและการจัดซื้อจัดจ้างในสหรัฐพร้อมทั้งเสนอ "โครงการริเริ่มห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ประชาธิปไตยระดับโลก" นอกจากนี้ ยังเสนองบประมาณพิเศษเพื่อเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศให้สูงกว่า 3% ของจีดีพีซึ่งบ่งชี้ถึงความตั้งใจที่จะซื้ออุปกรณ์ป้องกันประเทศจากสหรัฐเพิ่มขึ้น

ข้อมูลจากรัฐบาลไต้หวันแสดงให้เห็นว่าการลงทุนในสหรัฐเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยภายในปี 2024 ไต้หวันได้ลงทุนในสหรัฐมากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์และสร้างงาน 400,000 ตำแหน่ง การลงทุนที่มุ่งสู่สหรัฐคิดเป็นมากกว่า 40% ของการลงทุนในต่างประเทศทั้งหมดของไต้หวันทั้งในปี 2023 และ 2024 ในขณะที่สัดส่วนการลงทุนในจีนลดลงเหลือเพียง 11% และ 8% ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนทิศทางการลงทุนของไต้หวันอย่างมีนัยสำคัญ

ในสถานการณ์ปัจจุบัน TSMC และรัฐบาลไต้หวันต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศและการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐ การเจรจาเกี่ยวกับการเข้าควบคุมโรงงานของ Intel อาจเป็นทางออกที่ช่วยให้ TSMC รักษาบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลก ในขณะเดียวกันก็ตอบสนองต่อความต้องการของรัฐบาลทรัมป์ในการฟื้นฟูการผลิตชิปในสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของแผนการนี้ยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึงการตอบรับจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดและความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติของข้อตกลงที่จะเกิดขึ้น

ย้อนรอยความสำเร็จ TSMC

ความสำเร็จของ TSMC และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เป็นผลมาจากนโยบายการลงทุนที่แข็งแกร่งของไต้หวัน ในทศวรรษ 1990 ไต้หวันรักษาสัดส่วนการลงทุนต่อ GDP ไว้ที่ระดับสูงกว่า 30% และแม้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ยังคงรักษาระดับไว้ที่ 22% โดยเฉลี่ย การลงทุนส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ภาคการผลิต ซึ่งตามมุมมองของ รูชิร์ ชาร์มา นักกลยุทธ์โลกของ Morgan Stanley ระบุว่าประเทศที่รักษาสัดส่วนการลงทุนระหว่าง 25-35% ของ จีดีพีมักจะมีการเติบโตที่ยั่งยืน โดยเฉพาะหากการลงทุนนั้นอยู่ในภาคการผลิต

นอกจากนี้ ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่เศรษฐกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างหนัก ไต้หวันกลับเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่เติบโตได้ โดยจีดีพีเพิ่มขึ้นจาก 3% ในปี 2019 เป็น 3.1% ในปี 2020 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น 20% ท่ามกลางความต้องการชิปที่พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก

 

ที่มาข้อมูลเนื้อหาจาก…  https://www.bangkokbiznews.com/world/1167299

 


98 Degree