บล.กสิกรไทย คงมุมมอง”บวก”หุ้นอสังหาฯ

บล.กสิกรไทย คงมุมมอง”บวก”หุ้นอสังหาฯ หลังปี 65 กำไรแกร่ง หุ้นเด่น AP LH ORI SPALI SC และ SIRI

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย มีมุมมองต่อกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 ว่าเป็นปีที่ยอดเยี่ยมจากยอดขายโดยรวมปี 2565 เป็นไปตามเป้า

ดังนั้นคงมุมมอง”เชิงบวก”ต่อกลุ่มที่อยู่อาศัย กำไรที่แข็งแกร่งในปี 2565 และการประกาศแผนธุรกิจเชิงรุกสำหรับปี 2566 นอกจากนี้ฤดูกาลจ่ายเงินปันผลจะช่วยหนุนคำแนะนำของบล.กสิกรไทยอย่างน้อยในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การเลือกหุ้นเป็นรายบริษัท ควรจะถูกนำมาใช้มากขึ้นในปี 2566 จากแนวโน้มการเติบโตที่จะชะลอตัวลง

บล.กสิกรไทย ยังคงชอบผู้นำอย่าง AP LH ORI SPALI SC และ SIRI แต่หุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูงอย่าง BRI และหุ้นที่ฟื้นตัวอย่าง ANAN และ QH ก็น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเรื่องราวการลงทุนที่แตกต่าง

ทั้งนี้บริษัทพัฒนาที่อยู่อาศัยรายใหญ่ 12 แห่งภายใต้การวิเคราะห์ของบล.กสิกรไทยรายงานยอดขายปี 2565 ที่ 2.82 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อนหน้า สอดคล้องกับเป้าหมายรวมที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นปีที่ 2.87 แสนล้านบาท โดยความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงแข็งแกร่งมาก โดยยอดขายของผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้เพิ่มขึ้นอีก 14% แตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 1.8 แสนล้านบาท

บล.กสิกรไทย ระบุแม้ว่าจะมีสัญญาณที่ชัดเจนของการฟื้นตัวของความต้องการคอนโดมิเนียมในปี 2565 จากยอดขายที่เพิ่มขึ้น 50% เป็น 1.02 แสนล้านบาท เชื่อว่าพัฒนาการเชิงบวกดังกล่าวมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดีหลังไทยเปิดประเทศอีกครั้งในช่วงกลางปี 2565 ทั้งนี้ AP BRI ORI SC และ SENA รายงานสถิติสูงสุดใหม่ของยอดขายประจำปี

ความเชื่อมั่นทำให้เกิดการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวนมาก การเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2565 ของบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ทั้ง 12 บริษัท ที่ 3.19 แสนล้านบาท เป็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญถึง 127% โดยหากแบ่งตามผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์แนวราบใหม่เพิ่มขึ้น 118% YoY เป็น 2.26 แสนล้านบาท

ขณะที่คอนโดมิเนียมใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 9.2 หมื่นล้านบาท แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 152% YoY แต่ยังต่ำกว่าระดับสูงสุดในปี 2561 อยู่มาก เมื่อมีคอนโดมิเนียมใหม่ถูกเพิ่มเข้าสู่ตลาดมูลค่าถึง 1.83 แสนล้านบาทถึงแม้มูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่ข้างต้นเป็นระดับที่ค่อนข้างมาก แต่ยังต่ำกว่าแผนเดิมที่ตั้งไว้ว่าจะเปิดตัวโครงการใหม่ที่มีมูลค่าสูงถึง 3.85 แสนล้านบาทในปี 2565 อย่างมาก ปัญหาขาดแคลนแรงงานน่าจะเป็นสาเหตุของความคลาดเคลื่อนนี้ ไม่ใช่อุปสงค์