ห้องเม่าปีกเหล็ก

ส่องหลังม่าน “เมียนมา” ท่ามกลางความปั่นป่วน

โดย ลำหับ
เผยแพร่ :
218 views

ส่องหลังม่าน “เมียนมา” ท่ามกลางความปั่นป่วน

 

เบื้องหลังความวุ่นวายเหล่านี้ “เมียนมา” ไม่ได้หยุดนิ่ง ยังคงมีโครงการลงทุนจากต่างประเทศที่ยังดำเนินการอยู่ และเมียนมาเองยังพยายามเชื่อมประสานการค้ากับมิตรประเทศ เดินหน้าฝ่าวิกฤติ เพื่อสามารถหวนกลับสู่เวทีโลกได้อีกครั้ง หลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ ที่คาดว่าจะมีขึ้นในเดือนสิงหาคม ปี 2566
 

 

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2564 เกิดความสับสนอลหม่านขึ้นในเมียนมา เมื่อกองทัพเมียนมาเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน ส่งผลให้ประชาชนออกมาประท้วงอย่างกว้างขวาง แต่ต่อมาการต่อต้านเริ่มเบาบางลง เนื่องจากกองทัพปราบปรามผู้ประท้วงอย่างต่อเนื่อง และเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

จากความไม่แน่นอนในเสถียรภาพทางการเมืองของเมียนมา ทำให้สกุลเงินจ๊าตอ่อนค่าลงอย่างมาก โดยเมื่อต้นปี 2565 ความต้องการสกุลเงินต่างประเทศเพิ่มสูงมาก แต่ปริมาณเงินต่างประเทศไม่เพียงพอ ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนสูงขึ้นมากอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดี ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เริ่มเห็นสัญญาณสถานการณ์ทั้งการเมืองและโรคระบาดปรับตัวดีขึ้น แต่ค่าเงินจ๊าตยังมีอัตราคงที่ 1,850 จ๊าต ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ตามการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารกลางเมียนมา และอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ในช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว รวมถึงสกุลเงินบาทที่ 52.609 จ๊าต ต่อ 1 บาท

เมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา ทั่วโลกกลับมาให้ความสนใจกับเมียนมาอีกครั้ง เมื่อธนาคารกลางเมียนมาสั่งผู้กู้ยืมท้องถิ่นระงับการชำระหนี้ต่างประเทศชั่วคราวตามมาตรการล่าสุด เพื่อรักษาเงินสำรองระหว่างประเทศ พร้อมระบุว่า ผู้กู้ยืมท้องถิ่นที่กู้ยืมต่างประเทศในรูปแบบเงินสดหรือประเภทอื่นใด จะต้องระงับการชำระทั้งดอกเบี้ยและเงินต้น โดยธนาคารต่างๆ จะต้องแจ้งลูกค้าเพื่อต่อรองกับผู้ให้กู้จากต่างประเทศเพื่อกำหนดการชำระหนี้ใหม่

จากการรายงานของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก บริษัทต่างๆ ในเมียนมามีหนี้ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอย่างน้อย 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในหมู่ผู้กู้ยืม คือ Ooredoo Myanmar ผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคม ขณะที่ตามข้อมูลของธนาคารโลกระบุว่า ในปี 2563 เมียนมามีเงินสำรองระหว่างประเทศอยู่เพียง 7,670 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น และเพื่อหยุดการไหลออกของเงินตราต่างประเทศ รัฐบาลเมียนมาได้สั่งห้ามนำเข้าสินค้าที่ไม่จำเป็น โดยผู้ผลิตรถยนต์ Suzuki จำเป็นต้องหยุดการผลิตในโรงงาน 2 แห่ง ในเมียนมา หลังจากขาดแคลนวัตถุดิบ

อย่างไรก็ตาม คาดว่าการระงับชำระหนี้ต่างประเทศเป็นการชั่วคราวนี้จะกระทบธุรกิจเพียงกลุ่มที่ทำธุรกิจในเมียนมาแต่กลุ่มที่ทำการค้าชายแดนจะไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากเมียนมามีนโยบายให้สามารถชำระหนี้ในรูปแบบสกุลเงินจ๊าต-หยวน และจ๊าต-บาท

ขณะเดียวกัน แม้จะถูกชาติตะวันตกคว่ำบาตร แต่ดูเหมือนว่าเมียนมานั้นไม่ได้โดดเดี่ยวจนเกินไปนักและยังมีพัฒนาการด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเมียนมาหันหน้าไปพึ่งพิงจีนและรัสเซีย เพื่อขอความช่วยเหลือด้านต่างๆ และการลงทุน ซึ่งแน่นอนว่าชาติพันธมิตรที่โดดเด่นที่สุดในขณะนี้หนีไม่พ้น “จีน”

เมื่อเร็วๆ นี้ การจัดการประชุมกรอบความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง ในเมียนมา และการเยือนเมียนมาของ นายหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของจีน ถือเป็นการสื่อข้อความสำคัญว่าจีนกำลังพยายามหาทางย้ำความสัมพันธ์อีกครั้งกับประเทศลุ่มแม่น้ำโขงต่างๆ ผ่านทางเมียนมา โดยเมียนมาถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำหรับจีนและจีนกำลังพิจารณาที่จะเริ่มพัฒนาโครงการหลักๆ 3 โครงการอีกครั้ง ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้อยในเมียนมา ได้แก่

 

1. โครงการภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (LMC)

กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (LMC) เป็นความร่วมมือระดับอนุภูมิภาค ประกอบด้วย 6 ประเทศที่แม่น้ำโขงไหลผ่าน ได้แก่ จีน, เมียนมา, สปป.ลาว ,ไทย, กัมพูชา และเวียดนาม ล่าสุด ในช่วงการประชุมในเมียนมา วาระสำคัญคือ การโน้มน้าวให้พัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนระหว่างประเทศสมาชิก เช่น การก่อสร้างรถไฟลาว-จีน

ภายใต้ LMC จีนสนับสนุนเมียนมาในภาคต่างๆ รวมถึงโครงการท่าเรือ Wan Pong ตั้งอยู่บริเวณแม่น้ำโขง ในเขตท่าขี้เหล็ก ทางตะวันออกของรัฐฉาน โดยนับตั้งแต่ปี 2561 จีนอัดฉีดเงินหลายล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อเปลี่ยนให้ท่าเรือนี้เป็นศูนย์กลางการค้าแห่งภูมิภาค

ท่าเรือแห่งนี้มีบทบาทสำคัญในการค้ากับ สปป.ลาว และเชื่อมประตูการค้ากับประเทศในลุ่มแม่น้ำโขงอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงที่เกิดโรคโควิด-19 แพร่ระบาด เมียนมาได้ส่งออกข้าวไปยังจีนด้วยการใช้ท่าเรือนี้ผ่านทาง สปป.ลาว ซึ่งเมื่อการขยายท่าเรือแล้วเสร็จ จะช่วยให้ท่าเรือ Wan Pong จัดการการขนส่งตู้สินค้าต่างๆ ที่ช่วยส่งเสริมการค้าระหว่างเมียนมาและประเทศลุ่มแม่น้ำโขงได้ดียิ่งขึ้นด้วย

นอกจากนี้ จีนยังวางแผนสร้างเขื่อนอย่างน้อย 7 แห่ง ตามแม่น้ำสาละวิน รวมถึงเขื่อนขนาดใหญ่ในรัฐฉาน โดยเขื่อน Mong Tan ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้า 7,000 เมกะวัตต์ จะเป็นเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

 

2. ระเบียงทางการค้าเชื่อมทางบกกับทางทะเลสายใหม่

ด้วยตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะของเมียนมา ทำให้เมียนมามีความสำคัญต่อจีนในเชิงการเข้าถึงเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทางมหาสมุทรอินเดีย โดยจีนได้เปิดระเบียงทางการค้าเชื่อมทางบกกับทางทะเลใหม่ที่เข้าถึงมหาสมุทรอินเดียได้โดยตรงผ่านทางเมียนมา ซึ่งเส้นทางดังกล่าวเริ่มจากขนส่งสินค้าทางรถไฟ นครฉงชิ่งของจีน-ล้านช้าง ในมณฑลยูนนาน และต่อมาขนถ่ายมาทางถนนจากด่านชิน ฉ่วย โอ (Chin Shwe Haw) ไปยังนครย่างกุ้ง จากนั้นขนส่งทางเรือจากท่าเรือย่างกุ้งไปยังสิงคโปร์ ซึ่งขาสุดท้ายนี้ผ่านทางมหาสมุทรอินเดีย

เส้นทางการค้าใหม่นี้นับเป็นความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่สำหรับการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างจีน-เมียนมา ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และช่วยให้การขนส่งสินค้าจากทางบกในภาคตะวันตกของจีนสามารถส่งไปยังยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ได้โดยตรงผ่านทางเมียนมาในระยะเวลาที่สั้นลงกว่าครึ่ง

 

3. ระเบียงเศรษฐกิจ จีน-เมียนมา (CMEC) และ CMEC Plus

ในช่วงที่ นายหวัง อี้ เยือนเมียนมา ได้แสดงความตั้งใจจะกลับมาดำเนินการโครงการภายใต้ CMEC ต่อ รวมถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษเจ้าผิวก์ (Kyaukpyu) ในรัฐยะไข่และโครงการเชื่อมต่อโครงข่ายข้ามพรมแดนต่างๆ อีกทั้งมีการเปิดเผยถ้อยแถลงว่า จีนและเมียนมาเห็นพ้องที่จะเร่งการก่อสร้างการเชื่อมต่อโครงข่ายข้ามพรมแดนซึ่งเมียนมาจะซื้อไฟฟ้าจากจีน

ขณะที่ ความสัมพันธ์กับรัสเซียก็ยังคงเป็นไปอย่างราบรื่น โดยเมียนมานั้นต้องการความช่วยเหลือด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับรัสเซียให้มาขึ้น รวมถึงเรื่องพลังงานนิวเคลียร์ และทั้ง 2 ประเทศยังตกลงที่จะกระชับความสัมพันธ์ด้านการทหารให้มากขึ้นด้วย

อย่างไรก็ดี ธนาคารโลกมองว่าปีนี้แนวโน้มเศรษฐกิจของเมียนมายังคงอ่อนแอ เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อ, ขาดแคลนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐและความขัดแย้งภายในประเทศที่ยังคงอยู่ ทำให้เกิดความท้าทายต่างๆ ต่อการฟื้นตัวจากโรคระบาด พร้อมทั้งคาดการณ์ว่า GDP ของเมียนมาในปี 2565 จะต่ำกว่าปี 2562 ราว 13%

ท่ามกลางความปั่นป่วน ไม่ว่าจะเป็นเสถียรภาพทางการเมือง, โรคระบาดโควิด-19 ที่ยืดเยื้อและวิกฤติเศรษฐกิจโลก จะเห็นได้ว่า เบื้องหลังความวุ่นวายเหล่านี้ เมียนมาไม่ได้หยุดนิ่ง ยังคงมีโครงการลงทุนจากต่างประเทศที่ยังดำเนินการอยู่ และเมียนมาเองยังพยายามเชื่อมประสานการค้ากับมิตรประเทศ เดินหน้าฝ่าวิกฤติ เพื่อสามารถหวนกลับสู่เวทีโลกได้อีกครั้งหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ที่คาดว่าจะมีขึ้นในเดือนสิงหาคม ปี 2566

 

โดย ศิริอาภา คำจันทร์ ASEAN Specialist AEC Connect ธนาคารกรุงเทพ 

จากคอลัมน์ Asia Report วารสารการเงินธนาคารฉบับเดือนสิงหาคม 2565 ฉบับที่ 484

 

 


ลำหับ