ห้องเม่าปีกเหล็ก

พรก.ให้อำนาจธปท.ซื้อหุ้นกู้.....อุ้มใคร?

โดย dave
เผยแพร่ :
66 views

พรก.ให้อำนาจธปท.ซื้อหุ้นกู้.....อุ้มใคร?

มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา ได้อนุมัติมาตรการการดูแลและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัส Covid-19 ระยะที่ 3 วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท ผ่านการออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.) 3 ฉบับ หนึ่งในนั้นก็คือ พ.ร.ก.เพื่อดูแลเสถียรภาพตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน ที่ให้อำนาจ ธปท.บริหารจัดการสภาพคล่องและปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจให้ตรงกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบ และมีกลไกที่รัฐบาลจะช่วยรับภาระชดเชยความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

พ.ร.ก.ฯ ฉบับนี้ได้ให้อำนาจธปท.สามารถเข้าไปซื้อตราสารหนี้ที่ออกใหม่ ผ่าน"กองทุนเสริมสภาพคล่องตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน " ( Corporate Bond Stabilization Fund : BSF )เพื่อไปชำระตราสารหนี้ที่ครบกำหนด ( rollover) ในช่วงปี 2563-2564 โดยต้องเป็นตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ " Investment grade" ตั้งแต่ BBB- ขึ้นไป

*หุ้นกู้เข้าข่ายรับความช่วยเหลือ 4.7 แสนล.

จากการสำรวจข้อมูลสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) พบว่าปัจจุบันมีหุ้นกู้เอกชนคงค้างมูลค่า 3.68 ล้านล้านบาท (ตารางประกอบ) หรือมากกว่า 20% ของจีดีพี จำนวนนี้ 96% เป็นหุ้นกู้ในกลุ่ม Investment grade มีเพียง 6% ที่เป็นหุ้นกู้ในกลุ่ม Under investment grade และ non-rated หรือที่เป็นกลุ่ม high yield bond(ตั้งแต่ BBB- ลงมา ) และธุรกิจที่ออกหุ้นกู้มากสุด 3 อันดับแรกก็ คือกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์และกลุ่มไฟแนนซ์ และกลุ่มเทคโนโลยี่และการสื่อสาร โดยเติบโตกว่า 3 เท่าตัวในปี 2562 โดยหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระภายในปีนี้มีประมาณ 6.6 แสนล้านบาท

นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA ) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ณ สิ้นไตรมาส1/63 เหลือหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระใน 9 เดือนข้างหน้า ประมาณ 500,000 กว่าล้านบาท จำนวนนี้เป็นหุ้นกู้กลุ่ม High yield bond หรือเรตติ้ง BBB- ลงมา ประมาณ 30,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ในหุ้นกู้กลุ่ม High yield bond "ฐานเศรษฐกิจ" รวบรวมพบว่าเป็นการออกโดยบริษัทจดทะเบียน (บจ.) 33 แห่ง โดย 23 บจ.เป็นการขายไม่มีเรตติ้ง ( non-rated) และอีก10 บจ.เป็นเรตติ้ง BB+

*หุ้นกู้ 22 บจ.อสังหาครบชำระ 9 หมื่นล.

ขณะที่รายงานจาก ทริสเรตติ้ง ระบุว่าผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ ทริสฯจัดอันดับเครดิต มี 22 บริษัท มียอดหุ้นกู้คงค้างประมาณ 2.43 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 60% ของหนี้สินทางการเงินโดยรวมของผู้ประกอบการทั้งหมด โดยทั้ง 22 บริษัท (ทริสฯ อ้างอิงข้อมูลจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2563 ) มีมูลค่าหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในปีนี้ประมาณ 8.93 หมื่นล้านบาท เป็นหุ้นกู้ระยะสั้น 2.34 หมื่นล้านบาท และระยะยาวจำนวน 6.59 หมื่นล้านบาท และประมาณ 50% ของตราสารหนี้จะครบกำหนดอายุไถ่ถอนในไตรมาส 2 นี้ ซึ่งทริสฯประเมินว่า ผู้ประกอบการทุกรายพร้อมที่จะไถ่ถอนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 3 เดือนข้างหน้าได้ แต่มีประมาณครึ่งหนึ่งที่มีเงินสดคงเหลือและวงเงินกู้พร้อมเบิกเพียงพอสำหรับการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดภายในปีนี้เท่านั้น

ใน 22 รายเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับ “A” จำนวน 7 บริษัท ได้แก่ LH, PS, SPALI, AP, GOLD, QH และ LPN ส่วนในระดับ “BBB” มีจำนวน 9 บริษัท ได้แก่ LALIN, SIRI, SC, ORI, SENA, UV, ANAN, MK และ NOBLE ที่เหลือเป็นระดับตั้งแต่ BBB- ลงมา และมีผู้ประกอบการที่มีแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ 6 บริษัทได้แก่ AREEYA ,LPN NOBLE , MK ,ANAN และ PF

* พรก.ให้อำนาจธปท.ซื้อหุ้นกู้ เพื่อ ?

จากข้อมูลที่กล่าว แม้ในสถานการณ์นี้ธนาคารกลางหลายประเทศ ต่างก็เข้าไปซื้อตราสารหนี้ภาคเอกชน เช่นธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป ( อีซีบี )ที่เข้าไปซื้อCommercial Bond ในการทำหน้าที่สร้างหลังพิงให้กับตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน เพื่อสร้างเสถียรภาพในตลาดเงิน แตก็ไม่แปลกที่จะมีคำถามขึ้นว่า พ.ร.ก.ให้อำนาจธปท.ซื้อหุ้นกู้ เพื่อประโยชน์...กับใคร ?

เช่นที่นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตั้งข้อสังเกตุว่าการที่ธปท.จะพิจารณาซื้อตราสารหนี้บริษัทเอกชนแต่ละรายนั้น แม้จะกระทำในรูป"คณะกรรมการ" แต่ก็เสี่ยงจะเข้าข่ายเลือกปฏิบัติ หรืออาจจะถูกกล่าวหาว่ามีการวิ่ง หรือมีการชี้นำให้ช่วยบริษัทที่สนิทสนมกับนักการเมือง แม้การจัดอันดับเครดิตกำหนดว่าเกรดสำหรับการลงทุน (Investment grade) สามารถลงไปต่ำได้ถึงระดับ BBB- แต่ระดับการจัดอันดับในไทยนั้น มิได้สูงเปรียบเทียบกับอันดับเท่ากันของสำนักจัดอันดับเครดิตสากล

ทั้งยังตั้งข้อสังเกต ..ในกรณีที่ธปท.ระบุว่าจะซื้อตราสารหนี้เอกชนที่ครบกำหนดออกใหม่ ซึ่งเป็นการซื้อในตลาดแรก จึงไม่มีกลไกที่จะสะท้อนความเสี่ยงเครดิต หรือสะท้อนราคาตลาดที่แท้จริง ต่างกับธนาคารกลางยุโรปที่ซื้อในตลาดรองที่ยังไม่ถึงวันครบกำหนดเท่านั้น (กรณีตราสารระยะยาว จะซื้อเฉพาะที่มีอายุเหลืออยู่เกินกว่า 6 เดือน) ซึ่งจะเป็นกลไกที่สะท้อนราคาตลาดที่แท้จริงไว้ก่อน หรือกรณีเฟด จะผันตัวให้อยู่ห่างออกจากกลไกการคัดเลือกและการตัดสินใจเรื่องราคาอย่างสิ้นเชิง โดยตั้งเป็นกองทุนต่างหาก และมอบให้ฟันด์แมแนเจอร์เป็นผู้บริหารกองทุนอิสระไป อย่างไรก็ดีเฟดในยุคของทรัมป์ก็ยังมีภาพว่า อาจจะขาดความเป็นอิสระกลายเป็นเครื่องมือที่ประธานาธิบดีทรัมป์

อดีตขุนคลังท่านนี้ยังเสนอแนะว่า แทนที่ ธปท.จะเข้าไปซื้อตราสารหนี้เอกชนเองโดยตรง ควรเปลี่ยนเป็นกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์เป็นผู้รับซื้อแล้วเมื่อใดที่ธนาคารต้องการสภาพคล่อง ก็เปิดให้นำมาเป็นหลักประกันเพื่อกู้จากธปท.ได้

อย่างไรก็ดีเมื่อมองจากสถานการณ์ความจำเป็น "วิกฤติโควิด" กลไกการทำงานของกองทุน BSF "ฐานเศรษฐกิจ" พบว่าเงื่อนไขการขอรับความช่วยเหลือจากกองทุน ฯ ระบุว่า บริษัทผู้ออกหุ้นกู้ นอกจากต้องมี credit rating เป็น Investment grade (ตั้งแต่ BBB- ขึ้นไป ) ณ วันจัดตั้งกอง และต้องเป็นบริษัทที่มีฐานะการดำเนินงานดีอยู่ เพียงขาดสภาพคล่องชั่วคราว

บริษัทฯยังต้องดำเนินการจัดหาเงินทุนด้วยตัวเองก่อน ทั้งจากแหล่งภายในเช่นเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นเดิม หรือบริษัทแม่ หรือหาแหล่งเงินภายนอก(เช่นสินเชื่อ) ในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 50% ของยอดที่จะครบกำหนด ซึ่งแสดงว่ากองทุนฯจะช่วยเติมสภาพคล่องในส่วนที่ขาดไม่เกิน 50% ของยอดที่จะครบกำหนด โดยคณะกรรมการลงทุนของกองทุน ฯ จะพิจารณาและรับซื้อตราสารหนี้ระยะสั้นที่เสนอขาย ณ อัตราส่วนลดที่กองทุนฯกำหนด ( เช่น ราคาตลาด + ส่วนเพิ่ม ) เพื่อให้บริษัทสามารถนำเงินไปไถ่ถอนหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนด

สอดคล้องกับนายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ที่ว่า "แม้ว่าครม.ได้ให้ความเห็นชอบว่า ธปท.สามารถเข้าไปดูแลได้ไม่เกิน 4 แสนล้านบาท ย้ำว่ากองทุนนี้จะทำหน้าที่เป็น bridge financing "แหล่งเงินทุนสำรองชั่วคราว" เท่านั้น เพราะบริษัทผู้ออกตราสารหนี้จะต้องไประดมทุนตามช่องทางปกติก่อน หลังจากนั้นหากไม่พอ จึงสามารถมาขอความช่วยเหลือจากกองทุน BSF ได้ "

จากเงื่อนไขที่กล่าวอย่างน้อยจึงน่าจะเป็นเครื่องมือกลั่นกรองได้ระดับหนึ่ง ที่สำคัญคือการจับตาของสังคมต่อการทำงานของธปท.ในสถานการณ์นี้เป็นครั้้งแรก ก็น่าจะเป็นด่านป้องกัน พาระบบการเงินผ่านพ้นช่วงวิกฤติโควิดไปได้

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


dave