ฉลองปีใหม่ 2560 พร้อมฉลองให้แก่ SET คว้าแชมป์รีเทิร์นฉลุยปี 2559
สวัสดีปีใหม่ 2560 !!
... หลังจบปี 2559 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,542.94 จุด เพิ่มขึ้น 20% จากสิ้นปี 2558 ถือว่าเป็นผลตอบแทนดัชนีที่สูงสุดถ้าเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาค และเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 4 ปีหรือดีที่สุดถ้าเทียบกับปี 2555
โดยผลตอบแทนของแต่ละตลาดหุ้นภูมิภาค เป็นดังนี้ :
Market Current End 2015 Pct Move
ไทย 1,542.94 1,288.02 +19.79%
อินโดนีเซีย 5,296.711 4,593.008 +15.32%
เวียดนาม 664.87 579.03 +14.82%
สิงคโปร์ 2,880.76 2,882.73 -0.07%
ฟิลิปปินส์ 6,840.64 6,952.08 -1.60%
มาเลเซีย 1641.73 1,692.51 -3.00%
สำหรับ Market Cap หรือมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของหุ้นไทยปีที่แล้ว ขึ้นมาอยู่ที่ 15,079,272 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23%
ในปี 2559 นักลงทุนต่างชาติ พลิกกลับมาซื้อสะสมสุทธิตลาดหุ้นไทยมูลค่า 77,927 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่เป็นยอดขายสุทธิ 1.54 แสนล้านบาท
หุ้นใน SET 100 ติดอันดับ Top 10 Performance :
1-Year Return
BIG +249%
TKN +237%
PTG + 162%
THAI +154%
COM7 +143%
CBG + 128%
BEAUTY +115%
GLOBAL +112%
KAMART +86%
KCE +84%
ส่วนหุ้นใน SET 100 ที่เป็น Bottom 10 Performance :
1-Year Return
TASCO -52%
BEC -46%
IFEC -45%
ITD -31%
THCOM -29%
LPN -28%
S -23%
RS -19%
SAMART -16%
PLANB -16%
ถ้ามองทิศทางของตลาดหุ้นไทยในปี 2560 นี้ หลายๆ โบกเกอร์ค่อนข้างมองไปทิศทางเดียวกันว่าในเดือนมกราคม ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับฐาน ส่วนหนึ่งเพราะแรงซื้อที่เข้ามาอย่างหนาแน่นในช่วงปลายปีก่อน จะเพิ่มแรงกดดันให้เกิดการขายทำกำไร
นักวิเคราะห์ให้น้ำหนักหุ้นไทยเดือนมกราคมมีโอกาสปรับฐาน จากแรงขาย LTF ที่ครบกำหนดไถ่ถอน บวกกับกระแสเงินไหลกลับตลาดพัฒนาแล้ว พร้อมแนะนำ หากเห็นการย่อตัวเป็นจังหวะเข้าสะสมหุ้นรอบใหม่
อีกส่วนหนึ่งจะเป็นขายหุ้นของสถาบันในประเทศ เพื่อรองรับการไถ่ถอน LTF ที่ลงทุนมาครบ 5 ปี ซึ่งเม็ดเงินในจำนวนนี้ มีผู้ประเมินไว้ราว 4 หมื่นล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม ตามสถิติการขายจะเกิดขึ้นเพียง 20% ของ LTF ที่สามารถขายได้
นอกจากนั้น กระแสเงินทุนไหลกลับไปสหรัฐฯ ตามแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด เและความคาดหวังของต่อการใช้นโยบายของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีคนใหม่ที่จะเข้ารับตำแหน่งในเดือนนี้ จะมีส่วนกระตุ้นให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้เกิดการขายในตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน
ในมุมมองของ "เมย์แบงก์ กิมเอ็ง" ระบุไว้ในบทวิเคราะห์ว่า การกลับมาซื้อสุทธิอย่างโดดเด่นของต่างชาติในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 2559 สะท้อนทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจกลับมาอ่อนค่าในช่วงสั้น ซึ่งหากบวกกับความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย และผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนปี 2560 ในเชิงบวก ก็จะลดโอกาสที่ SET INDEX จะปรับฐานลงแรงในช่วงต้นเดือนม.ค. เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
"เมย์แบงก์ฯ" มองแนวรับที่ 1,500-1,520 จุด จะยังเป็นแนวรับที่ค่อนข้างแข็งแกร่งของ SET index และน่าจะเป็นจังหวะของการซื้อกลับได้เช่นกัน
กลยุทธ์ลงทุนปี 2560 "เมย์แบงก์ กิมเอ็ง" ให้ Top Pick หุ้นไทยสำหรับ 5 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย 1) กลุ่มธนาคาร (SCB, TMB เป็น Top Pick) 2) กลุ่มพลังงาน (PTT) 3) กลุ่มก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้าง (CK, TPIPL) 4) กลุ่มค้าปลีก (BJC) และ 5) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (PSH)
ด้าน บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) มองตลาดหุ้นไทยปี 2560 ต้องติดตามแนวโน้มการทำกำไรของตลาดในปี 2559 ที่ผ่านมาเป็นหลัก โดยเฉพาะในช่วงหลังจากการแจ้งผลประกอบการแล้ว
นักวิเคราะห์ระบุในปัจจุบัน EPS growth ของตลาด ยังทรงตัวอยู่ที่ระดับ 9-10% ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ต่ำกว่าภูมิภาคในรอบมากกว่า 5 ปี และถ้าหากมองอัตราการขยายตัวในระดับ 9-10% ในปีนี้ กรอบดัชนีฯ จึงน่าจะอยู่ที่ 1,500-1,550 จุด แต่หากอัตราการทำกำไรของตลาด เพิ่มขึ้นไปถึง 14-15% จากการเร่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจฟื้นตัว กรอบดัชนีฯ ก็น่าจะขึ้นไปอยู่ที่ 1,600-1,650 จุดได้ ซึ่งกรณีนี้น่าจะอยู่ที่กลางปี หรืออย่างช้าในช่วงครึ่งหลังของปี
ด้าน “ประภาส ตันพิบูลย์ศักด์” ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ทาลิส มองว่าในปี 2560 ตลาดหุ้นไทย จะทำผลตอบแทนได้ราวๆ 10% ตามการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียน ที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 10% เช่นกัน
อย่างไรก็ดี ผลตอบแทนในระดับนี้ ถือต่ำกว่าปี 2559 ที่ผ่านมา ที่ตลาดหุ้นไทย ทำผลตอบแทนได้ถึง 20%
การเติบโตของกำไรสุทธิในระดับนี้ ทำให้บลจ.ทาลิส คาดว่า SET Index ในปี 2560 จะมีโอกาสบวกขึ้นไปแตะระดับ 1,700-1,800 จุดได้ หรือขึ้นไปแตะระดับ “All Time High” ที่เคยทำไว้ที่ 1,750 จุด
อานิสงส์ส่วนหนึ่ง คุณประภาสคาดว่าจะมาจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่จะเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะหากมีความชัดเจนในเรื่องการเลือกตั้งในช่วงปลายปี
ส่วนกรอบล่างของดัชนีฯ ประเมินแนวรับไว้ที่ 1,450 จุด ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง และเพียงพอกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะในช่วงต้นปี ที่อาจจะถูกกดดันจากแรงขายกองทุน LTF รวมถึงความเสี่ยงเงินไหลกลับ จากความกังวลการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและแนวโน้มการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
แต่ความเสี่ยง 2 ประการหลัง ฟันด์แมเนเจอร์รายนี้มองระดับความเสี่ยงไว้ไม่มาก เพราะดูจากสถานการณ์ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติได้มีการทยอยปรับพอร์ต หรือรับรู้ความเสี่ยงดังกล่าวไปพอสมควรแล้ว
อย่างไรก็ดี จากความเสี่ยงที่ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสเผชิญแรงขายค่อนข้างสูงในช่วงต้นปี บลจ.ทาลิส จึงคาดว่าหุ้นขนาดกลางและเล็ก (Mid&Small Cap) น่าจะเป็นกลุ่มที่ยังบวกได้อย่างโดดเด่น เพราะเป้าหมายของต่างชาติส่วนใหญ่ อยู่ในหุ้น Big cap มากกว่า
สำหรับธีมลงทุนเด่น สำหรับตลาดหุ้นไทยปี 2560 คุณประภาสชี้ไปที่แนวทางการคัดเลือกหุ้นรายตัว เพราะมองว่าโจทย์สำหรับหุ้นไทยปี 2560 นี้ เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่า เซ็กเตอร์ไหนบ้างที่จะมีความโดดเด่น
โดย 3 ธีมลงทุนที่ให้ไว้ก็คือ 1) Growth stocks 2) Mid&Small cap stocks และ 3) New Listing โดยธีมลงทุนสุดท้าย แนะให้ลองหาจังหวะเข้าลงทุนในช่วงที่ราคาหุ้นย่อตัวหลังจากเข้าจดทะเบียนแล้ว เพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า
**********************************
ทีม Business & Finance , Money Channel