ASP เตรียมปรับลดคำแนะนำลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานทดแทน หลังรัฐเปลี่ยนนโยบายรับซื้อไฟฟ้า
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ASP เตรียมปรับลดคำแนะนำลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานทดแทน หลังประเมินภาพรวมการเติบโตมีจำกัดมากขึ้น จากรัฐบาลเปลี่ยนนโยบายเลือกรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนในราคาขายต่ำกว่าหรือเท่ากับราคารับซื้อสายส่งที่ 3.6 บาท/หน่วย ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) โครงการรับซื้อไฟฟ้าในอนาคตลดลง ขณะที่ภาพรวมกลุ่มพลังงานทดแทนยังอยู่ภาวะชะลอตัว
น.ส.นลินรัตน์ กิตติกำพลรัตน์ ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า การที่กระทรวงพลังงาน จะยังรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ในช่วง 5 ปีข้างหน้าอยู่ (2561-2565) แต่เปลี่ยนนโยบายมาเลือกรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ที่ราคาขายต่ำกว่าหรือเท่ากับราคาที่รับซื้อจากสายส่ง คือในอัตรา 3.6 บาท/หน่วย เทียบกับราคาขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าโซลาร์ในอดีตที่ 5.66 บาท/หน่วย และล่าสุดที่ 3.66 บาท/หน่วย สำหรับโครงการ SPP Hybrid Firm 300 เมกะวัตต์, ราคาขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานลม เฉลี่ยอยู่ที่ 6 บาท/หน่วย สะท้อนให้เห็นว่าจากนี้ไปผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ของโครงการที่จะเปิดรับซื้อไฟฟ้าในอนาคตจะลดลง
ฝ่ายวิจัย ASP ประเมินว่า การเติบโตของกลุ่มพลังงานทดแทนจำกัดมากขึ้น แม้ภาครัฐยืนยันจะเปิดประมูลรับซื้อไฟฟ้าในช่วง 5 ปี ข้างหน้า แต่เชื่อว่าผู้ประกอบการจะสนใจเข้าร่วมประมูลลดลงเมื่อเทียบกับอดีต
ขณะที่ภาพรวมกลุ่มพลังงานทดแทน ยังอยู่ในภาวะชะลอตัว จากกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เพียงพอต่อความต้องการใช้ ปัจจุบันมีกำลังการผลิตจากพลังงานทดแทน 8.6 พันเมกะวัตต์ คิดเป็น 43.9% ของกำลังการผลิตตามแผนพัฒนา
พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) ฉบับปี 2558-2579 ที่ 1.96 หมื่นเมกะวัตต์ ซึ่งเป็นแผนระยะยาวกว่า 20 ปี จึงเหลือกำลังการผลิตอีกราว 1.1 หมื่นเมกะวัตต์ ในระยะเวลา 19 ปี คิดเป็นกำลังผลิตที่จะเกิดขึ้น เฉลี่ยเพียงปีละ 580 เมกะวัตต์เท่านั้น
นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP 2018) คาดแล้วเสร็จเดือน ก.ย. 2561 จะเน้นไปที่การจัดหาพลังงานให้เพียงพอกับความต้องการใช้ โดยคำนึงถึงเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปและราคาขายไฟฟ้าที่ไม่เป็นภาระของประชาชน ฝ่ายวิจัยฯ จึงมีแนวโน้มปรับลดคำแนะนำกลุ่มพลังงานทดแทน เป็น “น้อยกว่าตลาด” จากเดิม “เท่ากับตลาด”
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย