ห้องเม่าปีกเหล็ก

‘บิ๊กคอร์ป’ พับแผนดันลูกไอพีโอ 5บจ.ใหญ่ เบรกระดมทุนตลาดหุ้นไทย

โดย คุณนายตื่นสาย
เผยแพร่ :
141 views

‘บิ๊กคอร์ป’ พับแผนดันลูกไอพีโอ 5บจ.ใหญ่ เบรกระดมทุนตลาดหุ้นไทย

  • พบว่ามี 5 หุ้นไอพีโอขนาดใหญ่ ประกาศพับแผนระดมทุนในตลาดหุ้นไทย "BRC - SCGC - CPFGS- WHAID - BOON"
  • WHA มีมติเลื่อนแผน Spin-off ของ WHAID เหตุเพราะสภาวะ "ตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวย" ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ดัชนีหุ้นไทยลงไปแล้ว 240 จุด
  • WHA ชี้ตลาดหุ้นไทยร่วงรอบนี้เหนือความคาดหมาย มองเกิดความไม่มั่นใจ "เศรษฐกิจ" และ "ภาวะหนี้สูง"และจีดีพีเติบโตต่ำ 2 ปี
  • สื่อนอกวิจารณ์ 7 เดือน ‘กองทุนวายุภักดิ์’ ล้มเหลว เหตุ "หุ้นไทย" ยังแย่ที่สุดในโลก
  • ก.ล.ต.-ตลท.-ดีเอสไอ ยกคณะพบนายกฯ เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ในตลาดหุ้นและติดตามการดำเนินมาตรการสร้างความเชื่อมั่น

 

นับตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึงปัจจุบัน (17 มี.ค.) “ตลาดหุ้นไทย” ดัชนี SET INDEX สร้าง “ผลตอบแทน” ต่ำเตี้ยเรี้ยดิน โดยดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมากว่า 16.17% แล้ว และทิศทางยังไม่เห็นการฟื้่นตัว แม้ภาครัฐพยายามออกมาตรการผ่านการตั้ง “กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง” 

รวมทั้งล่าสุดกองทุน ThaiESG Extra ยังไม่ช่วยให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นด้วยปัจจัยอื่นๆ ที่กระทบการลงทุนทั้งความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทยและทั่วโลก แต่ประเด็นสำคัญเฉพาะตัวของตลาดหุ้นไทยคือ “ธรรมมาภิบาล” (CG) ของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) 

ดังนั้น ตลาดหุ้นไม่เอื้อในการลงทุน จึงทำให้เหล่า “บิ๊กคอร์ป” ที่เดิมมีแผนจะนำบริษัทลูกหรือบริษัทในเครือเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นไทย เพื่อขยายการเติบโต แต่เมื่อภาวะตลาดหุ้นไทยไม่ดี หากเข้าไปอาจจะทำให้ “ไม่ได้มูลค่าที่เหมาะสม” ด้วยเพราะเป้าหมายของบริษัทต้องการให้บริษัทที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นในประเทศนั้นๆ มีมูลค่าดีที่สุด 

ดังนั้น จึงเริ่มเห็นบิ๊ก บจ.ขนาดใหญ่ หลายๆ แห่งทยอยประกาศยกเลิกแผนแยก (Spin-Off) บริษัทลูกหรือบริษัทในเครือ เพื่อผลักดันให้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

พบ “5 บิ๊ก บจ.” เลื่อนแผนเข้าตลาดหุ้นไทย 

“กรุงเทพธุรกิจ” พบว่ามี 5 หุ้นไอพีโอขนาดใหญ่ ประกาศพับแผนระดมทุนในตลาดหุ้นไทย ประกอบด้วย 

1. บริษัท บิ๊กซี รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BRC โดยมี บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC เป็นบริษัทแม่ และในเครือ “เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี”

2. บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จํากัด (มหาชน) หรือ SCGC โดยมีบริษัทแม่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC 

3. บริษัท ซีพีเอฟ โกลบอลฟู้ด โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CPFGS โดยมี บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF และเป็นบริษัทในเครือของ “เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์”

4. บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAID โดยมีบริษัทแม่ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA

5. บริษัท บุญถาวร รีเทลคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BOON ล่าสุด ไม่พบหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ในเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว 

 

“ดับบลิวเอชเอ” เบรกแผนบ.ลูกตลาดระดมทุน 

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยว่า กรณีที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติเลื่อนแผน Spin-off ของ บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAID 

ทั้งนี้เพราะสภาวะตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวย สะท้อนจากตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ดัชนีหุ้นไทยลงไปแล้ว 240 จุด และยังไม่เห็นมาตรการที่ชัดเจนที่จะทำให้ตลาดทุนไทยฟื้นตัวขึ้น รวมถึงที่ประชุมฯ ยังอนุมัติการยกเลิกการปรับโครงสร้างบริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP ด้วยนั้น 

สำหรับ หุ้น WHAID จะกลับมาอีกเมื่อไหร่ ยอมรับยังไม่มีกำหนดที่ชัดเจน โดยการเลื่อนรอบนี้เบื้องต้นภายใน 2 ปีนี้ แต่ยังไม่แน่นอน หลังจากนี้จะต้องคุยกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่และบริษัทพร้อมที่จะรับฟังทุกความเห็น

“ภาพใหญ่ที่เลื่อน จากตลาดหุ้นไม่ดีลงมาอยู่เหนือความคาดหมาย ยังคงตอบไม่ได้ตลาดจะกลับมาดีตอนไหน และบริษัทมีการลงทุนในเวียดนาม และเคยพูดคุยกับผู้บริหารถึงการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในเวียดนามด้วย ยังพูดคุยกันเฉยๆ ยอมรับมีความสนใจ”

     ส่วนราคาหุ้นของบริษัทที่ปรับตัวลดลงนั้น ยืนยันว่า เป็นผลจากตามสภาพของตลาดภาพรวม ยืนยันว่า ไม่เกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทแต่อย่างใด ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า บริษัทเลื่อนแผนจากปัญหาหนี้สินจำนวนมากนั้น ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง เนื่องจากบริษัทมีเงินกู้กับสถาบันการเงินน้อยกว่า 20% 

     และกลุ่มธุรกิจหลักของบริษัท ยังมีบาลานซ์กันและกัน ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดีมากในภาวะไม่ปกติ รายได้ประจำมีสัดส่วน 50% ถือว่าสูงมาก และการบริหารบริษัท วางกลยุทธ์ทางธุรกิจระยะยาว 5-10 ปี สอดรับการเติบโตตามเมกะเทรนด์ของโลกธุรกิจในอนาคต 

เสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยกเลิก Short Selling

     ทางด้านข้อเสนอแนะตลาดหุ้นไทย นางสาวจรีพร มองว่า หน่วยงานกำกับดูแลควรพิจารณายกเลิกการ Short Selling โดยยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมาหุ้นร่วงในรอบนี้ เห็นการ Force Sell ในรอบนี้ด้วย ขณะเดียวกันอยากให้คำนึงถึงเรื่องธรรมาภิบาล (CG) ด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ ที่จะต้องคำนึงถึง

     “ตลาดหุ้นไทยร่วงรอบนี้เหนือความคาดหมาย  มองเกิดความไม่มั่นใจเศรษฐกิจและรัฐบาล ภาวะหนี้ที่สูงและจีดีพีเติบโตต่ำ 2 ปี  รวมถึงตลาดหุ้นไทย มีประเด็นธรรมาภิบาลบาง บจ.ทำให้กระทบความเชื่อมั่น หากสร้างความเชื่อมั่นกลับมาได้ นักลงทุนจะกล้าลงทุน”      

     โดยช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้พูดคุยกับหลายกองทุน และหลังจากนี้จะมีการพูดคุยเพิ่มเติมภายหลังจากที่มีการเลื่อนแผนการ Spin Off WHAID ออกไป สำหรับกองทุน THAI ESGX คาดว่าจะชะลอการขายได้บ้าง ขณะที่บริษัทจัดอยู่ในบริษัทที่เป็น ESG ซึ่งเป็นอีกบริษัทที่กองทุนจะซื้อได้ 

     สำหรับแนวโน้มผลดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 เชื่อยังคงเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน เพราะคาดบริษัทจะสามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงใหญ่กว่า 400 ไร่ ให้ลูกค้าต่างชาติได้เพิ่มเติม และยังคงได้รับความสนใจจากลูกค้าต่างชาติรายใหม่และเจรจาต่อเนื่อง 

      ทั้งนี้ ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการเซ็นสัญญาซื้อขายที่ดิน (LOI) รวมแล้วมากกว่า 1,000 ไร่ และยังมีรายใหม่ที่อยู่ระหว่างการเจรจาที่ต้องการที่ดินแปลงใหญ่ประมาณ 1,000 ไร่ เข้ามาเพิ่มเติม เบื้องต้นรายดังกล่าวบริษัทอาจเสนอที่ดินแปลงใหญ่ให้ได้ราว 700-800 ไร่จากเดิมสนใจ 400 ไร่ 

     “ลูกค้าต่างชาติ” ซื้อที่ดินต่อเนื่อง 

     ทั้งนี้ ลูกค้าต่างชาติที่เข้ามาติดต่อขอซื้อที่ดิน ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องกับ High-Tech โดยมีทั้งกลุ่มยานยนต์และซัพพลายเชน กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า กลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มคอนซูมเมอร์ เป็นต้น ปัจจัยหลักๆ เป็นอานิสงส์มาจากนโยบายการปรับขึ้นภาษีของทรัมป์ ทำให้เกิดการย้ายฐานทุนเป็นจำนวนมาก

      “นโยบายการขึ้นภาษีของทรัมป์ เป็นเรื่องที่เราพูดมาตลอดหลายปี หลายคนไม่เชื่อในสิ่งที่เคยพูดไป แต่อยากให้เห็นว่า วันนี้การเข้ามาลงทุนของต่างชาติมีความชัดเจนมากน้อยแค่ไหน การเติบโตของนิคมฯ อุตสาหกรรม น่าจะช่วยสะท้อนภาพเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี และมองว่าการย้ายฐานทุนจะมีเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ต่อเนื่องไปอีกหลายปี”

     ปัจจุบันบริษัทยังมียอดขายที่รอการโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ในมืออีกกว่า 1,553 ไร่ จะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2568 เป็นส่วนใหญ่ เชื่อจะช่วยสะท้อนภาพธุรกิจว่ายังคงดำเนินการได้ตามปกติและยังคงมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายที่วางไว้ไม่น้อยกว่า 35% หรือแตะ 20,000 ล้านบาท ยังคงทำสถิติสูงสุดใหม่ (All time high) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4

     สื่อนอกวิจารณ์ 7 เดือน ‘วายุภักดิ์’ หุ้นไทยยังแย่ที่สุดในโลก

     สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า แคมเปญพยุงตลาดหุ้นไทยที่ตกต่ำผ่าน “กองทุนวายุภักษ์” กำลังล้มเหลว เนื่องจากการมองแง่ลบต่อเศรษฐกิจที่ฝังรากลึกเร่งให้กองทุนต่างชาติถอนเงินออกจากตลาดหุ้นไทย

     รายงานระบุว่าในช่วง 7 เดือนมานี้ หลังจากที่มีการระดมทุนในกองทุนวายุภักษ์ได้ 1.5 แสนล้านบาท (ราว 4.5 พันล้านดอลลาร์) บรรดานักวิเคราะห์ยังคงประหลาดใจว่ากองทุนดังกล่าวกลับช่วยหนุนดัชนี SET ได้เพียงเล็กน้อย และปีนี้ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงไปแล้วมากกว่า 16% ทำให้ขึ้นแท่นเป็นดัชนีที่มีผลงานแย่ที่สุดในโลกจาก 92 ดัชนีที่บลูมเบิร์กติดตาม และในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติถอนเงินออกจากตลาดหุ้นไทยไปแล้ว 4.2 พันล้านดอลลาร์ (ราว 1.4 แสนล้านบาท) หรือมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

      หัวใจหลักที่นักลงทุนยังมองเชิงลบอยู่ก็คือ “ความไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจกระตุ้นเศรษฐกิจได้นอกเหนือจากการท่องเที่ยว” รวมถึงความกังวลที่หยั่งรากลึกเกี่ยวกับ “หนี้ครัวเรือนที่สูง” ความไม่แน่นอนทางการเมือง และเรื่องอื้อฉาวของบรรดาบริษัทจดทะเบียน

      แผนพยุงตลาดหุ้นไทยล้มเหลว

      บลูมเบิร์กระบุว่า ความล้มเหลวในแผนการพยุงตลาดหุ้นผ่านการลงทุนในบริษัทจดทะเบียนครั้งนี้ กำลังส่งสัญญาณเตือนไปยังรัฐบาลและนักลงทุนถึง “ความสามารถของกองทุนรัฐในการกระตุ้นตลาด” และสิ่งที่รัฐบาลไทยจะดำเนินการต่อไปจะเป็นตัวกำหนดสถานะของตลาดไทยเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ในระนาบเดียวกัน

      ทั้งนี้ นับจากที่รัฐบาลประกาศระดมทุนในกองทุนวายุภักษ์เมื่อเดือนส.ค. 2567 นักวิเคราะห์ต่างให้มุมมองเชิงบวกต่อข่าวนี้ โดยธนาคารโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงค์ ยกระดับหุ้นไทยขึ้นจากความคาดหวังว่าจะช่วยดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศได้ หลังจากความไม่มั่นคงทางการเมืองและผลกำไรที่ย่ำแย่ของบริษัทจดทะเบียนทำให้ตลาดหุ้นไทยปั่นป่วนตลอดทั้งปี 2567 และเจ้าหน้าที่รัฐฝากความหวังไว้กับกองทุนพยุงหุ้น

     อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นได้ชั่วขณะหนึ่งก่อนที่ความท้าทายต่างๆ จะถาโถมเข้ามา ข้อมูลของรัฐบาลแสดงให้เห็นว่าหนี้ครัวเรือนของไทยยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง การเติบโตทางเศรษฐกิจยังต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ส่วนใหญ่ โดยปี 2567 ถือเป็นอัตราการเติบโตที่ช้าที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ส่วนภาคการบริโภคและการผลิตยังแสดงสัญญาณการชะลอตัว

     เดือน พ.ย. โกลด์แมน แซคส์ได้ปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยลง โดยระบุในบันทึกอ้างถึงการโตทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่และการประเมินมูลค่าที่สูง “ด้วยแรงหนุนตลาดหุ้นไทยจากกองทุนวายุภักษ์ที่ลดลง ปัจจัยพื้นฐานที่ไม่เอื้ออำนวยของไทยก็กลับมาเป็นประเด็นพิจารณาอีกครั้ง”

     จากการประมาณการของนักวิเคราะห์บริษัทแมคควอรี พบว่า กองทุนวายุภักษ์มีการใช้เงินไปแล้วอย่างน้อย 50-60% จากการระดมทุน 1.5 แสนล้านบาท ทว่าในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ดัชนี SET ตลาดหุ้นไทยกลับลดลงเกือบ 10% นับตั้งแต่มีการระดมทุนรอบใหม่

     ก.ล.ต.-ตลท.-DSI ยกคณะพบนายกฯ

    น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เข้าพบเพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ในตลาดหุ้นและติดตามการดำเนินมาตรการสร้างความเชื่อมั่น

    นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ติดตามความคืบหน้าคดีที่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจและส่งผลต่อคนจำนวนมาก เช่น STARK รวมทั้งติดตามมาตรการในการสร้างความน่าสนใจให้กับตลาดหุ้น

    น.ส.แพทองธาร โพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดียถึงการติดตามสถานการณ์ตลาดหุ้นไทย และการเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้คืนกลับมา โดยระบุว่า ตลาดหุ้นไทย เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่รัฐบาลติดตามและให้ความสำคัญมาโดยตลอด โดยเน้นย้ำ 4 เรื่องสำคัญ ดังนี้

   1. กำชับและติดตามคดีที่มีผลกระทบต่อผู้คนเป็นจำนวนมาก กระทบทางเศรษฐกิจ เร่งรัดติดตามคดีมีความคืบหน้าโดยเร็ว 2. แก้ไขกฎหมายเพื่อป้องกันกระทำผิดในตลาดหุ้น โดยปรับปรุงกฎเกณฑ์ ยกระดับไม่ให้มีการกระทำแบบนี้เกิดขึ้นอีก 

   3.กำชับถึงข้อกำหนดที่จะจัดการ free float ลงโทษบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ทำผิดหลักเกณฑ์ได้ ให้ออกจากตลาด 4. เน้นย้ำให้ใช้กฎหมายครบทุกมิติ เพื่อฟื้นความมั่นใจเร่งด่วนและเป็นธรรม

    นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า รายงานให้นายกฯ ทราบในช่วงที่ผ่านมา ก.ล.ต.ปรับกระบวนการทำงานภายในให้รวดเร็วขึ้น ซึ่งเห็นผลเป็นรูปธรรมว่ามีการดำเนินการที่รวดเร็วขึ้น เช่น ตั้งแต่ต้นปี 2568 ได้บังคับใช้กฎหมายจำนวน 15 กรณี โดยมีผู้กระทำผิดประมาณ 40 ราย ระยะเวลาในการดำเนินการโดยเฉลี่ยสั้นลง และบางกรณีใช้เวลาน้อยกว่า 1 ปี

    นอกจากนี้ ได้ร่วมกับ ตลท.ดำเนินมาตรการกำกับดูแลซื้อขายในตลาดหุ้นให้เกิดความเป็นธรรมโปร่งใส รวมทั้ง ก.ล.ต. ยังอยู่ระหว่างการปรับปรุงหลักเกณฑ์การรายงานข้อมูลของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนกรณีนำหุ้นไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในธุรกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ลงทุนได้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายหลักทรัพย์เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นตลาดทุน

    นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการในคดีต่าง ๆ ในตลาดทุน ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ พร้อมเสนอโครงการที่ได้ดำเนินการเพื่อพัฒนาตลาดทุนและบริษัทจดทะเบียน ได้แก่ โครงการ JUMP+ ซึ่งเป็นโครงการส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทจดทะเบียน เพื่อสร้างการเติบโตให้กับตลาดทุนไทย

 

ที่มาข้อมุล..  https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1171464

 


คุณนายตื่นสาย