สร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้ ‘เงิน’ ติดไวรัส
กว่าจะผ่านเดือนมกราคมมาได้ ต้องบอกว่าหนักหนาแสนสาหัสทีเดียวค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าพอพ้นเดือนแรกของปีมาแล้ว ทุกอย่างจะกลับมาสดใสฉับพลัน เพราะต้องยอมรับว่า เรายังคงต้องเผชิญหน้ากับปัจจัยลบทั้งหลายต่อไป โดยเฉพาะเรื่องใกล้ตัวอย่างการระบาดของไวรัสโคโรน่า ที่กลายเป็นวิกฤติทั่วโลก ฉุดรั้งทั้งอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ และทำให้หลายคนต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตขนานใหญ่รวมถึง บริหารจัดการเงิน
แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าติดตามคำแนะนำของคุณหมอหรือแม้แต่กรมอนามัยในเรื่องการดูแลตัวเอง ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องพื้นฐานธรรมดาๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้ แต่เรามักจะละเลย ไม่ว่าจะเป็นกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือเหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมคือ การสวมหน้ากากอนามัย
ส่วนเรื่องที่เราจะเตรียมไว้เป็น ‘ทุน’ สำหรับตัวเองอยู่แล้ว คือ การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ทานให้ครบ 5 หมู่ การดื่มน้ำสะอาด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ถ้าใครที่สะสมทุนพวกนี้ไว้ ก็เท่ากับช่วยลดอัตราเสี่ยงจากโรคภัยไข้เจ็บไปได้มากแล้วค่ะ
เรื่องของการ บริหารจัดการเงิน ก็เช่นกัน เราสามารถดูแลเงินของเราไม่ให้ได้รับผลกระทบจากไวรัสหรือจากปัจจัยลบที่เข้ามามีผลกระทบได้ โดยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเงินของตัวเองค่ะ
ภูมิคุ้มกันขั้นพื้นฐาน นั่นคือ การสำรองเงินสดไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน เงินจำนวนนี้ไม่จำเป็นต้องเน้นแสวงหาผลตอบแทนค่ะ แต่เน้นเก็บไว้ในสถานที่ที่ปลอดภัย และสามารถนำออกมาใช้จ่ายได้ในเวลารวดเร็วที่สุด ถ้าตามเงื่อนไขนี้ ก็ต้องใช้บริการ ‘เงินฝากออมทรัพย์’ ของธนาคารค่ะ เพราะปลอดภัย สภาพคล่องสูง ต้องการใช้เมื่อไหร่ก็นำออกมาได้ทันที ทุกบ้านที่มีบัญชีสำรองนี้สะสมไว้มากเท่าไหร่ ก็เหมือนเราออกกำลังกายสม่ำเสมอ ร่างกายแข็งแรงต้านทานไวรัสได้ดีกว่าแน่นอนค่ะ
สำหรับใครที่ห่วงว่า ฝากแบงก์จะไม่ปลอดภัย เพราะเดี๋ยวนี้มีข่าวว่า เงินหายจากแบงก์บ่อยๆ เราสามารถป้องกันได้ด้วยการอัพเดทสถานะบัญชีบ่อยๆ ค่ะ หมั่นตรวจสอบความปกติหรือไม่ปกติของบัญชี ถ้าพบว่าผิดปกติให้แจ้งกับธนาคารเจ้าของบัญชีทันที เพราะถ้าเกิดจากธนาคารหรือเกิดจากระบบ ธนาคารก็พร้อมจะรับผิดชอบอยู่แล้วค่ะ หลายคนเก็บเงินไว้ที่บ้าน เพราะคิดว่าปลอดภัยที่สุด เสี่ยงกับการถูกขโมยรวมถึงปลวกอาจจะกินด้วยค่ะ
ภูมิคุ้มกันขั้นที่สอง นั่นคือ กระจายความเสี่ยงให้เงินค่ะ เหมือนกับ ‘กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย’ นั่นแหละค่ะ เพราะเงินในส่วนที่นอกเหนือจากการสำรองฉุกเฉิน เราสามารถนำไปแสวงหาผลตอบแทนเพิ่มเติมได้ โดยใช้หลักการกระจายความเสี่ยง ไม่ลงทุนกับสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งด้วยเงินทั้งหมดที่มี เพราะเวลาสินทรัพย์ที่เรานำไปลงทุนเกิดปัญหาติดไวรัสขึ้นมา อย่างน้อยเราก็ยังมีแหล่งอื่นๆ ที่ไม่ติดไวรัสไปด้วยค่ะ
เรื่องของการกระจายการลงทุน เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจค่ะ เพราะมันเป็นอีกขั้นนึงของการ บริหารจัดการเงิน ดังนั้น ต้องท่องไว้ว่า ‘การลงทุนมีความเสี่ยง’ เราต้องรู้จักและยอมรับความเสี่ยงของสิ่งที่เราไปลงทุน แต่ต้องระวังการหลอกลวงให้ลงทุนในรูปแบบหรือสินทรัพย์ที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่มีกฎหมายรองรับ ซึ่งถ้าไม่แน่ใจว่า จะสุ่มเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวงหรือไม่ ก็สามารถตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมทั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ค่ะ
ภูมิคุ้มกันขั้นที่สาม คือ หมั่นตรวจสอบการลงทุน เหมือนกับหมั่นตรวจสอบสุขภาพตัวเองค่ะ ถ้าเราพบว่าร่างกายเรามีอะไรผิดแผกไปจากเดิม ก็ควรพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษา หรือควรตรวจสุขภาพทุกปีค่ะ เพราะความผิดปกติบางอย่างอาจจะไม่ได้แสดงออกทันที กว่าจะรู้ว่ามีอะไรแปลกไป ก็อาจจะเกินกว่าการรักษาเบื้องต้นจะดูแลได้ การลงทุนก็เช่นกันค่ะ เราต้องหมั่นตรวจสอบสินทรัพย์ต่างๆ ที่เราเข้าไปลงทุนว่า ผลตอบแทนเป็นอย่างไร หรือมีปัจจัยอะไรที่เข้ามากระทบในทางลบหรือทางบวกอย่างไร เราจะได้หาทางปรับเปลี่ยน ขยับหรือโยกเงินลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง หรือเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้กับเงินของเราค่ะ
ภูมิคุ้มกันเหล่านี้จะช่วยให้เราลดความเสี่ยงจากไวรัสได้ ลองดูนะคะ
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก