ห้องเม่าปีกเหล็ก

เปิดกำไร 11 ธนาคาร แบงก์ไหนดี-ร่วง?

โดย OVERMoney
เผยแพร่ :
37 views

เปิดกำไร 11 ธนาคาร ‘ไตรมาส2-ครึ่งปีแรก 68“ แบงก์ไหนดี-ร่วง?

 

เปิดผลงาน “11 แบงก์” ไตรมาส 2/68 “กำไรรวม” อยู่ที่ 6.6 หมื่นล้าน ลดลงเฉียด 3% ด้านสำรองหนี้เสียพุ่ง 5.7 หมื่นล้าน พุ่ง 5.32% หลังแบงก์ตั้งรับความเสี่ยง ตั้งสำรองพุ่ง

 

 

ล่าสุดกลุ่ม “ธนาคารพาณิชย์ไทย” (แบงก์) ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2 และครึ่งปีแรกของปี 2568 ออกมาเป็นที่เรียบร้อย จาก 11 แบงก์ อาทิ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCB) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) กลุ่มการเงินทิสโก้ (TISCO) กลุ่มเกียรตินาคินภัทร (KKP) ธนาคารแลนแอนด์เฮ้าส์ (LHFG) ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย (CIMBT) ธนาคารกรุงไทย (KTB) และธนาคารไทยเครดิต (CREDIT)  

โดยกำไรรวมในไตรมาส อยู่ที่ 66,238 ล้านบาท ลดลง 2.97% หากเทียบกับไตรมาสแรกที่ผ่านมา ที่กำไรรวมอยู่ที่ 68,269ล้านบาท  
 

โดยแบงก์ที่กำไรลดลงมากที่สุดคือ

  • ซีไอเอ็มบีไทย กำไรลดลง 79%
  • กสิกรไทยลดลง 9.45%
  • กรุงเทพ ลดลง 6.17% หากเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้า

 

ขณะที่แบงก์ที่กำไรยังเติบโต ในไตรมาส2 มากที่สุดคือ

  • เกียรตินาคินภัทร ที่กำไรยังเติบโตสูง 32%
  • กรุงศรีอยุธยา กำไรเพิ่มขึ้น 10%

 ธนาคารที่ทำกำไรสูงที่สุดในกลุ่มในไตรมาส 2 ใน 3 อันดับแรก

  • เอสซีบีเอกซ์ กำไรอยู่ที่ 12,786 ล้านบาท
  • กสิกรไทย 12,488 ล้านบาท
  • ธนาคารกรุงเทพ 11,840 ล้านบาท

ขณะที่ครึ่งปีแรกกำไรโดยรวมอยู่ที่ 134,509 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.97% หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

โดยธนาคารที่กำไรลดลงมากที่สุดคือ ในครึ่งปีแรก

  • ซีไอเอ็มบีไทย กำไรลดลง 73%
  • ทีทีบี ลดลง 7.23%
  • ทิสโก้ ลดลง  6.27%

ส่วน 3 อันดับที่กำไรเติบโตโดดเด่น หากเทียบ ช่วงเดียวกันปีก่อน

  • เกียรตินาคินภัทร ผลงานครึ่งปีแรกยังโดดเด่น โดยเติบโตถึง 83%
  • เอสซีบีเอกซ์ กำไรเพิ่มขึ้น 27.68%
  • ไทยเครดิตเพิ่มขึ้น12.80%

ธนาคารที่มีกำไรมากที่สุดของกลุ่มในครึ่งปีแรก 3 อันดับแรก

  • กสิกรไทย กำไรครึ่งปีแรกอยู่ที่ 26,280 ล้านบาท
  • เอสซีบีเอกซ์ 25,288 ล้านบาท
  • กรุงเทพ 24,458 ล้านบาท

ด้านสำรองหนี้เสีย ไตรมาสนี้โดยรวมอยู่ที่ 57,612 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.32% หากเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลง 8.73 %จากช่วงเดียวกันปีก่อน

โดยธนาคารที่มีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นสูงในไตรมาส 2 ใน 3 อันดับแรก คือแลนด์แอนด์เฮ้าส์ สำรองเพิ่มขึ้น 72%  ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย สำรองเพิ่มขึ้น 39% ธนาคารทิสโก้สำรองเพิ่มขึ้น 44.94% หากเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2568  

และหากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน พบว่าหลายแบงก์สำรองหนี้เสียเพิ่มขึ้น เช่น ซีไอเอ็มบีไทย สำรองเพิ่มขึ้น 113 % ทิสโก้เพิ่มขึ้น 39%

ขณะที่หลายแบงก์สำรอง ลดลงหากเทียบกับปีก่อน อาทิ เกียรตินาคินภัทร สำรองลดลง 45%  ไทยเครดิตสำรองลด 28.99% ทีทีบีลดลง 18.69% 

ส่วนการตั้งสำรอง ครึ่งแรกโดยรวมอยู่ที่ 112,313 ล้านบาท ลดลง 8.97%จากช่วงเดียวกันปีก่อน  โดยธนาคารมีธนาคารที่สำรองเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ ซีไอเอ็มบีไทย สำรองเพิ่มขึ้น 86% ทิสโก้สำรองเพิ่มขึ้น 39%  

ขณะที่หลายแบงก์สำรองลดลง หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน อาทิ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ลดลง 40% ไทยเครดิต 36% กรุงศรี ลดลง 15.82% 

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB กล่าวว่า ภายใต้เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนและปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยืดเยื้อ กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ให้ความสำคัญกับการช่วยประคับประคองลูกหนี้ทุกกลุ่ม ผ่านคุณสู้เราช่วย และเตรียมช่วยเหลือเพิ่มเติมในคุณสู้เราช่วยระยะที่ 2 เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางมีโอกาสฟื้นตัวได้

สำหรับผลประกอบการไตรมาสที่สองปี 2568 ของบริษัทยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง จากการบริหารจัดการให้เกิดแหล่งที่มาของรายได้ที่หลากหลาย การควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ที่รอบคอบ ส่งผลให้การก่อตัวของสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ในระดับที่ควบคุมได้

นอกจากนี้ บริษัทได้รับความเห็นชอบให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาอย่างเป็นทางการ และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการเตรียมการจัดตั้ง บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบและสร้างการเติบโตให้กับบริษัทในระยะยาว

สำหรับ SCB มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 12,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และครึ่งแรกของปี 2568 บริษัท มีกำไรสุทธิจำนวน 25,288 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7% จากปีก่อน จากช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรจากเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น การตั้งสำรองที่ลดลง และ การควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

โดยทั้งนี้ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมีจำนวน 17,530 ล้านบาท ลดลง 5.6% จากปีก่อน จากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ โดยบริษัทฯ มีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ลดลงมาอยู่ที่ 40.2% ทั้งนี้บริษัทตั้งสำรองลดลง 13.0% จากปีก่อน เนื่องจากคุณภาพสินทรัพย์อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยเฉพาะการปรับตัวดีขึ้นของบริษัท คาร์ด เอกซ์ จำกัด ทั้งนี้ในด้านสินเชื่อด้อยคุณภาพ ในไตรมาส2 อยู่ที่ 3.31% ลดลง จาก 3.34% จากปีก่อน

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ท่ามกลางความท้าทายของปัจจัยทางเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศที่มีความเสี่ยงสูง รวมทั้งความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ธนาคารยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบ โดยมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ซึ่งรวมถึงความรับผิดชอบต่อลูกค้าผู้ฝากเงิน ผู้ลงทุน ที่ครอบคลุมถึงลูกค้าบุคคลและลูกค้าธุรกิจด้วยการดูแลช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ อย่างเหมาะสม

ตลอดจนการส่งมอบผลตอบแทนที่มั่นคงให้แก่ผู้ถือหุ้น ผ่านการเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ 3+1 และการจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Productivity) อย่างต่อเนื่องภายใต้บริบทของเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 12,488 ล้านบาท ลดลง 9.45% หลัก ๆ จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงตามภาวะตลาด และการลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้

นอกจากนี้ ยังได้พิจารณาตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 10,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 232 ล้านบาท หรือ 2.36% และครึ่งปีที่ธนาคารได้ตั้งสำรองอยู่ที่ 19,868 ล้านบาทตามหลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สำรองฯ อยู่ในระดับที่เหมาะสม รองรับความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่อง รวมถึงผลกระทบจากสถานการณ์ในอนาคต

ทั้งนี้ ด้านหนี้เสียอยู่ที่ระดับ 3.18% ซึ่งยังคงต้องดำเนินการติดตามคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวังใกล้ชิดในภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน โดยอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 162.77%

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก ทำให้ทีทีบีเน้นย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบมาโดยตลอดทั้งนี้สิ่งที่ธนาคารให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ คือการดูแลลูกค้า การเพิ่มมูลค่าให้ผู้ถือหุ้น และการดูแลคุณภาพหนี้ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

นายพิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐาน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง กล่าวว่า ภาพรวมกำไรกลุ่มแบงก์ไตรมาส 2 ปี 2568 ถือว่าดีกว่าที่คาดเฉลี่ย 7% สำหรับ KBANK และ TTB ถือว่าตามคาด ส่วน SCB ดีกว่าคาด 17% , KKP ดีกว่าคาด 26%, BBL ดีกว่าคาด 7% และ TISCO ดีกว่าคาด 6% โดยปัจจัยสนับสนุนทำให้ภาพรวมดีกว่าคาดมาจากกำไรเงินลงทุน และค่าใช้จ่ายดำเนินงานลดลง ขณะที่สัดส่วน NPLทรงตัวหรือเพิ่มเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม เรายังคงประมาณการเดิมสำหรับกำไรกลุ่มแบงก์ทั้งปีนี้ ลดลง 7% จากปีก่อน (YoY) ขณะที่ตลาดคาดปรับลดลง 2% จากปีก่อน เพราะว่า ตลาด ยังคงระมัดระวังภาพรวมในไตรมาส 3 ปีนี้ ที่จะเริ่มรับรู้ผลกระทบภาษีทรัมป์ และธนาคารยังคงประเมินแนวโน้มการปรับลงดอกเบี้ยนโยบาย 1-2 ครั้งในครึ่งหลังของปีนี้

นายพิสุทธิ์ งามวิจิตวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า กลุ่มแบงก์ไตรมาส 2 ปี 2568 ของกลุ่มแบงก์ที่ประกาศออกมาแล้ว ส่วนของกำไรดีกว่าคาด จากกำไรเงินลงทุนเป็นหลัก แต่ จะมีแค่ส่วนของ KKP ที่ดีขึ้นในหลายจุด

สำหรับแนวโน้มภาพไตรมาส 3 ปี 2568 ของกลุ่มแบงก์ มองน่าจะยังอ่อนตัวลงจาก ไตรมาส 2 ปี 2568 จาก NIM ที่ยังลดลงต่อ และสินเชื่อที่หดตัวลง ซึ่งทุกธนาคารน่าจะยังคุมการปล่อยสินเชื่อแบบเข้มงวด ส่วนคุณภาพสินทรัพย์คาดจะเห็นการอ่อนตัวลงต่อเนื่อง และ credit cost น่าจะเพิ่มขึ้น แต่คาดกำไรที่ทำไว้ตอนนี้น่าจะดี และอาจจะมีปรับเพิ่มในบางตัวที่งบออกมาดี  

 

 

ที่มา..  https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1190669

 


OVERMoney