วิเคราะห์เหตุผลทำไม BTS ต้องซื้อหุ้น KEX เพิ่ม
ภายหลังจากการเข้าตลาดหุ้นของ บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX ก็ยังได้รับกระแสนิยมอย่างต่อเนื่อง สอดรับกับการระบาดของ COVID-19 รอบใหม่ ที่ทำให้ธุรกิจ E-commerce มีโอกาสเติบโตอย่างร้อนแรงอีกครั้ง เช่นเดียวกับการระบาดในรอบแรกที่ผ่านมา ซึ่งหนึ่งในหุ้นที่ได้รับอานิสงส์ก็คงหนีไม่พ้นผู้นำด้านการให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนภาคเอกชนในประเทศไทยที่มีการเติบโตรวดเร็วที่สุดอย่าง KEX
แต่อย่างไรก็ตามก็มีข่าวให้นักลงทุนสงสัยกันมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดก็ได้มีประเด็นการขายหุ้นของผู้บริหาร ทั้ง 4 รายที่ขายบิ๊กล็อตรวม 9.5 ล้านหุ้น ในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 52 บาท รวมมูลค่า 494 ล้านบาทประกอบด้วย นางสาว วันวิสาข์ ทัศนปรีชาชัยขายหุ้น 1 ล้านหุ้น นายคิน เฮ็ง เน็ง ขายหุ้น 3.5 ล้านหุ้น นาย ชุน ซัง ฉ่อย ขายหุ้น 3 ล้านหุ้น และ นายวราวุธ นาถประดิษฐ์ ขายหุ้น 2 ล้านหุ้น
โดยทีมข่าวได้รับข้อมูลเข้ามาเพิ่มเติมจากแหล่งข่าวบริษัท BTS ที่บอกกับเราว่า ประเด็น บิ๊กล็อต ดังกล่าวเกิดจากการเข้าทำรายงานของ BTS ทั้ง 9.5 ล้านหุ้น โดยเป็นการเข้าซื้อหุ้นผ่าน management เนื่องจากมองว่า ทาง KEX มีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต
จากการเปิดเผยเหตุผลของแหล่งข่าวดังกล่าว สะท้อนกับช่วงก่อนหน้านี้ที่ ทาง BTS และนายคีรี กาญจนพาสน์ เข้าเก็บหุ้นมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับก.ล.ต. รายงานการได้มาหุ้นของ KEX โดย BTS ซึ่งเป็นการได้มา เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.63 จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มา คิดเป็น 1.2977% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ และ นาย คีรี กาญจนพาสน์ ซึ่งเป็นการได้มา เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.63 จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มา คิดเป็น 0.6896% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มา คิดเป็น 0.6896% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มา ของกลุ่มคิดเป็น 1.9873% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มา ของกลุ่มคิดเป็น 21.0218% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
สำหรับ KEX เป็นผู้นำด้านการให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนภาคเอกชนในประเทศไทยที่มีการเติบโตรวดเร็วที่สุด เมื่อพิจารณาจากปริมาณโดยเฉลี่ยของพัสดุที่จัดส่งต่อวัน ในปี 2562 จากข้อมูลของ Frost & Sullivan ทั้งนี้ ปริมาณรวมของพัสดุที่จัดส่งประจำปีของบริษัท มีอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ตั้งแต่ปี 2557 ถึงปี 2562 เท่ากับ 134.9% ในปี 2562 จากข้อมูลของ Frost & Sullivan
โดย KEX จัดส่งพัสดุไปยังสำนักงาน คลังสินค้า ร้านค้าปลีก และครัวเรือนในประเทศไทยเป็นจำนวนเฉลี่ยทั้งสิ้นกว่า 1.1 ล้านชิ้นต่อวันทำการ ซึ่งมีปริมาณพัสดุที่จัดส่งของบริษัท สูงกว่าผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนภาคเอกชนรายใหญ่ที่สุดอันดับที่สองและอันดับที่สาม 3.9 เท่า และ 11.0 เท่า ตามลำดับ (ไม่รวมการจัดส่งพัสดุโดยบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด) และในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 KEX จัดส่งพัสดุเป็นจำนวนเฉลี่ยทั้งสิ้นกว่า 1.2 ล้านชิ้นต่อวันทำการ
ขณะที่การเติบโตของ E-Commerce และเครือข่ายสื่อสังคมค้าขายออนไลน์ในประเทศไทย มีการเติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดย Frost & Sullivan คาดว่าภายในปี 2567 ยอดขายปลีกผ่านช่องทางออนไลน์ต่อหัวจะเพิ่มขึ้นเป็น 5,406 บาท จาก 1,661 บาท ในปี 2562 อีกด้วย นอกจากนี้ ตามข้อมูลของ Frost & Sullivan ปริมาณพัสดุส่งด่วนประจำปีคาดว่าจะเติบโตเป็น 2,100 ล้านชิ้น ภายในปี 2567 คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสม 21.4%ต่อปี (ปี 2562-2567)
ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 KEX มีจุดให้บริการจำนวน 15,901 แห่ง ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดในประเทศไทย มีศูนย์คัดแยกพัสดุจำนวน 9 แห่ง ศูนย์กระจายพัสดุจำนวน 1,234 แห่ง รถสำหรับจัดส่งพัสดุจำนวน 25,071 คัน ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท และมีพนักงานจำนวน 18,617 คน
เมื่อเข้าไปสำรวจตัวเลขกำไรสุทธิย้อนหลังของ KEX พบว่า ในปี 2560 มีกำไรสุทธิ 730.26 ล้านบาท หลังจากนั้น ปี 2561 เพิ่มเป็น 1,185.10 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 1,328.55 ล้านบาท ในปี 2562 และล่าสุดงวด 9 เดือนปี 2563 เพิ่มเป็น 1,030.07 ล้านบาท จากงวดเก้าเดือนปี 2562 อยู่ที่ 900.19 ล้านบาท และเราต้องจับตาดูว่ากำไรสุทธิงวดปี 2563 จะรายงานออกมาเช่นไร ท่ามกลางการระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้ธุรกิจ E-commerce เติบโตอย่างมาก และเป็นผลดีโดยตรงกับ KEX ในฐานะผู้นำตลาดฯ
อย่างไรก็ตามล่าสุดยังมี่มีการประเมินจากนักวิเคราะห์ แต่เมื่อสิ้นปี 2563 ทางนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ได้ออกมาระบุว่า ในแง่ของกลยุทธ์ เชื่อว่า สัดส่วนการซื้อขายผ่าน retail e-commerce (e-tail) ในประเทศไทยที่ 3% ยังมีโอกาสขยายตัวอีกมาก เมื่อเทียบกับประเทศญี่ปุ่นที่ 9% สหรัฐอเมริการที่ 15% หรือ ประเทศจีนที่ 27% ดังนั้นถ้าเราลองให้สมมุติฐาน terminal growth ของ KEX เพิ่มขึ้น จากการศึกษา sensitivity analysis จะได้กรอบราคาเหมาะสมพื้นฐาน ดังนี้...
Bull case: Terminal growth 4.5% (หรือ คิดเป็น 1.5 เท่าของ GDP growth บนสมมติฐาน สัดส่วนการใช้ e-tail ของประเทศไทยเข้าใกล้ 9% ในระยะยาวอิงประเทศญี่ปุ่น) และ KEX สามารถรักษา market share ในระยะยาวได้
Ever Best case: Terminal growth = 6.0% (2.0 เท่าของ GDP growth บนสมมติฐานว่าสัดส่วนการใช้ e-tail ของประเทศไทยเข้าใกล้ 27% ในระยะยาวเหมือนประเทศจีน) และ KEX ยังสามารถเพิ่ม market share ในระยะยาวได้ ดังนั้นได้กรอบราคาเป้าหมายของ KEX อยู่ระหว่าง 37 บาท ถึง 87 บาท
ส่วนนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ได้ประเมินการเติบโตของ KEX ว่า แนวโน้มธุรกิจเติบโตสูง คาดกำไรเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี โดยคาดการณ์กำไรของ KEX ปี 2563-2567 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยเท่ากับ 15% ต่อปี จากการเติบโตของธุรกิจ E-commerce ส่งผลให้อุตสาหกรรมจัดส่งพัสดุมีแนวโน้มการเติบโตอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว
ขณะที่จุดเด่นของ KEX คืออัตราการเติบโตที่เหนืกว่าอุตสาหกรรมและคู่แข่งด้วยความได้เปรียบจากเครือข่ายจัดส่งพัสดุที่ใหญ่ที่สุด ทำให้เกิดความประหยัดต่อขนาด สามารถจัดส่งพัสดุด้วยตันทุนที่ต่ำ ประกอบกับมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งซึ่งจะช่วยเสริมโอกาสทางธุรกิจ
ดังนั้นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด จึงประเมินกำไรสุทธิปี 2563 ที่ระดับ 1,456 ล้านบาท หลังจากนั้นปี 2564 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิเติบโตมาอยู่ที่ระดับ 1,796 ล้านบาท และต่อมาปี 2565 คาดว่ากำไรสุทธิจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกมาอยู่ที่ระดับ 2,047 ล้านบาท แต่ให้ราคาพพื้นฐานเพียง 34.00 บาท
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก