ส่องพื้นฐาน 6 หุ้นเด่น
เมื่อเงินเฟ้อต่ำ หนุนวงจรดอกเบี้ยถึงจุดสิ้นสุด
.
แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยไทยใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของขาขึ้นแล้ว หลังธนาคารกลางยุโรปและสหรัฐหยุดการขึ้นดอกเบี้ย ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อไทยเดือนต.ค. 66 ออกมาหดตัวครั้งแรกในรอบ 25 เดือน ช่วยตอกย้ำว่าวงจรดอกเบี้ยไทยใกล้ถึงปลายทางแล้ว ซึ่งจะเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มไหนบ้าง Wealthy Thai จะพามาหาคำตอบ
.
โดยนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) หรืออัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเดือนต.ค. 66 ลดลง 0.31% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน นับเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 25 เดือน จากราคาพลังงานที่ปรับตัวลง ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาด
.
ในขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) หรืออัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเดือนต.ค. เร่งขึ้นเล็กน้อยในอัตรา 0.66% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ช่วยตอกย้ำวงจรดอกเบี้ยไทยปลายทางแล้ว นับเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มการเงิน MTC, ค้าปลีก CPAXT, CPALL ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ KCE และกลุ่ม High Growth เช่น BBIK, BE8
.
สำหรับแนวโน้มการเติบโตของ MTC นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า ประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 4,714 ล้านบาท ลดลง 7% จากปีก่อน เนื่องจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงและการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญฯ ที่เพิ่มขึ้น แต่สำหรับปี 2567 คาดการณ์กำไรสุทธิที่ 5,470 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อน หนุนโดย GDP ที่เติบโตเร็วขึ้น ซึ่งคาดว่าจะหนุนการขายตัวของสินเชื่อที่ 20% และทำให้คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น
.
เราประมาณการต้นทุนเครดิตปี 2567 อยู่ที่ 3.6% ลดลง 10bps จากปีก่อน ปรับเป้าหมายการลงทุนเป็นสิ้นปี 2567 ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ที่ 40 บาท และปรับคำแนะนำขึ้นเป็น ถือ ปัจจุบันราคาหุ้นมี downside จำกัด
.
ส่วน CPAXT นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ให้มุมมองว่า คาดว่ากำไรไตรมาส 4/66 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้ โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/65 จากยอดขายที่ดีขึ้น ดอกเบี้ยจ่ายและต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ลดลง และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/66 ตามปัจจัยฤดูกาล การประกาศของ CPAXT ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อธุรกิจค้าปลีกในเวียดนาม และนโยบาย Digital Wallet ที่มีความคืบหน้าจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้น
.
จึงยังคงเรทติ้ง OUTPERFORM ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ปรับใหม่เป็น 38 บาท หลังปรับประมาณการกำไรปี 2566-2567 ลง 8% มาอยู่ที่ 8,206 ล้านบาท และ 10,459 ล้านบาท เพื่อสะท้อนอัตรากำไรขั้นต้นที่ฟื้นตัวช้าในธุรกิจ B2C และค่าใช้จ่าย SG&A สูงในธุรกิจ B2B
.
CPALL นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า ยังคงประมาณการกำไรปี 2566-2567 ที่ 16,629 ล้านบาท โต 25% และ 20,592 ล้านบาท โต 24% ตามลำดับ แม้มองแนวโน้มไตรมาส 3/66 อ่อนตัวจากไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังคงคาดเห็นค่าใช้จ่ายการในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลง
.
ทำให้เรามองผลการดำเนินงานไตรมาส 4/66 จะขยายตัวได้ทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า จาก high season หลังหมดฤดูฝนและการฟื้นตัวต่อเนื่องของธุรกิจค้าปลีก รวมถึงรายได้ค่าเช่าที่จะปรับตัวดีขึ้นในช่วงปลายปี จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 80 บาท
.
KCE นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า คาดไตรมาส 4/66 กำไรยืนระดับได้จากไตรมาสก่อนหน้า จากแรงส่งค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าหนุน โดยประมาณการกำไรทั้งปี 2566 ที่ 1,676 ล้านบาท ลดลง 27% จากปีก่อน คงคำแนะนำ เก็งกำไร แต่ปรับเพิ่มราคาเหมาะสมสิ้นปี 2567 เป็น 53.50 บาท
.
อย่างไรก็ตามในเชิงกลยุทธ์กำไรครึ่งหลังปี 2566 มี Momentum ที่ดี ทำให้หุ้นยืนได้ในระดับสูง แต่ราคาหุ้นไม่ถูกและปี 2567 จะเผชิญความท้าทาย ดังนั้นจังหวะการปรับขึ้นของหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังมองเป็นจังหวะขายทำกำไรระยะสั้นที่ระดับราว 60 บาท
.
BBIK นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า หากกำไรไตรมาส 3/66 ออกอยู่ที่ 72 ล้านบาท ตามคาด กำไรปกติช่วง 9 เดือน ปี 2566 จะคิดเป็น 74% ของประมาณการกำไรปกติทั้งปี 2566 ของเราที่ 264 ล้านบาท โต 96% จากปีก่อน
.
โดยคาดผลประกอบการไตรมาส 4/66 จะทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า ทำให้ประมาณการทั้งปีของเรายังสมเหตุสมผล ทั้งนี้ ให้คำแนะนำ เก็งกำไร ราคาหุ้นมี Upside ที่จำกัดในระยะสั้น ควรรอราคาหุ้นปรับฐานก่อนถึงน่าสนใจกลับเข้าลงทุนรอบใหม่ และปรับไปใช้ราคาเหมาะสมสิ้นปี 2567 ที่ 100 บาท
.
และสุดท้าย BE8 นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า มองกำไรไตรมาส 4/66 จะฟื้นตัวเล็กน้อยจากไตรมาส 3/66 ได้ จากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาล BAYCOM ขณะที่ปี 2567 แรงขับเคลื่อนงานภาครัฐฯ ที่ล่าช้า เชื่อว่าจะค่อยๆกลับมา เมื่อแนวทางขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะการนำระบบดิจิทัลไปใช้ในส่วนงานต่างๆ ของหน่วยงานราชการตามนโยบายพรรคเพื่อไทย
.
แต่ด้วยความเสี่ยงงานภาครัฐฯ ที่ล่าช้าและบนโครงสร้างธุรกิจ BE8 ที่มีลูกค้ารัฐฯ สูงขึ้นกว่าในอดีต ทำให้เราปรับประมาณการปี 2566-2567 อนุรักษ์นิยมขึ้น คาดกำไรที่ 280 ล้านบาท โต 101.4% และ 423 ล้านบาท โต 51% ตามลำดับ คงคำแนะนำ ซื้อ มูลค่าพื้นฐานที่ 51.2 บาท

