ในภาวะที่เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจคู่ค้าชะลอตัว ที่ส่งผลกระทบต่อมูลค่าการส่งออกของไทยติดลบต่อเนื่อง ขณะที่ยังส่งผลให้ปริมาณความต้องการใช้พลังงานน้ำมันของโลกลดลงตามภาวะ เศรษฐกิจ กระทบต่อรายได้ของประเทศผู้ส่งออกน้ำมันลดลงตาม หลายฝ่ายคาดการณ์จะส่งผลต่อการส่งออกของไทยไปยังตลาดตะวันออกกลาง(15 ประเทศ)ซึ่งมีรายได้หลักจากการส่งออกน้ำมันอย่างแน่นอน แต่ท่ามกลางวิกฤตินี้ “อัครวุฒิ ตั้งศิริกุศลวงศ์” ประธานสภาธุรกิจไทยในดูไบและรัฐตอนเหนือของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(ยูเออี) ได้ให้สัมภาษณ์กับ “ฐานเศรษฐกิจ” โดยระบุกลับมองเห็นถึงโอกาส ที่สินค้าและบริการของไทยจะสามารถเจาะตลาดตะวันออกกลางได้มากขึ้น
รายได้หลายทางแม้น้ำมันวูบ
“อัครวุฒิ” ได้ให้มุมมองว่า ที่ผ่านมาคนพูดกันมากกว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลงจะมีผลกระทบต่อรายได้ ของกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง(ปี 2558 ไทยส่งออกไปตะวันออกกลาง 3.5 แสนล้านบาท) แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะตะวันออกลางยังมีรายได้จากด้านอื่นที่ไม่ใช่จากธุรกิจน้ำมัน( non-oil) เยอะมาก เช่น รัฐดูไบของยูเออีได้วางตำแหน่งตัวเองเป็นศูนย์กลางการนำเข้าเพื่อการส่งออก และเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว มีตึกเบิร์จ คอลิฟาที่สูงที่สุดในโลก และไอเอ็มจี เวิลด์ ออฟ แอดเวนเจอร์ธีมปาร์ค หรือสวนสนุกในร่มใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ที่ดูไบก็จะเปิดตัวปลายปีนี้
ขณะเดียวกันในตะวันออกกลางคนยังมีกำลังซื้อสูง ทั้งจากคนในท้องถิ่น และชาวต่างชาติที่เข้าไปพำนักอาศัยเพื่อทำงาน ทำธุรกิจการค้า และการลงทุนที่มาจากยุโรป หรือจากภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งมีความต้องการสินค้าและบริการอีกมากใอนาคต
ชี้ช่องเน้นเจาะกลุ่ม GCC
“ในตะวันออกกลางเราจะโฟกัสไปที่กลุ่มGCC (หรือกลุ่มประเทศคณะมนตรีความมั่นคงรัฐอ่าวอาหรับ ประกอบด้วย 6 ประเทศได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โอมาน กาตาร์ คูเวต บาห์เรน ซาอุดีอาระเบีย) ซึ่งกลุ่มนี้เป็นประเทศที่มีกฎหมายต่างๆ ใกล้เคียงกัน เช่น เวลาที่นำเข้าสินค้าไปที่ดูไบแล้ว สามารถรี-เอ็กปอร์ต หรือส่งต่อไปยังประเทศต่างๆ ในกลุ่มได้โดยที่ไม่ต้องเสียภาษีซ้ำซ้อน แต่ต้องทำให้ถูกต้องตามพิธีการ รวมถึงเรื่องเสถียรภาพทางการเงินในกลุ่มนี้ก็มั่นคงมาก”
สำหรับในดูไบนอกจากธุรกิจนำเข้าเพื่อการส่งออกต่อที่กำลังขยายตัวมากแล้ว ในแง่ภาคอสังหาริมทรัพย์ หรือเรียลเอสเตทก็มีต่างชาติเข้าไปลงทุนมาก ปัจจุบันมีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง และในดูไบมากมาก ทั้งคอนโดมิเนียมที่พักอาศัย และดูไบยังได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพจัด “เวิลด์เอ็กซ์โป 2020” ซี่งเป็นงานใหญ่ระดับโลก นอกจากนี้ดูไบกำลังจะมีตลาดค้าส่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก จะเปิดตัวไม่เกิน 3 ปีนับจากนี้ หากตลาดแห่งนี้เปิดสินค้าไทยไม่เข้าไปอยู่ในนั้นก็จะเสียโอกาส
80 สมาชิกเกาะกลุ่มเครือข่าย
“อัครวุฒิ”กล่าวอีกว่า ปัจจุบันทางสภาฯมีสมาชิกซึ่งส่วนใหญ่ทำธุรกิจการค้าอยู่ในดูไบประมาณ 80 กว่าราย โดยสภาฯมีหน้าที่หลักคือร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐของไทยในการจัดสัมมนาให้ ความรู้แก่ผู้ประกอบการไทยที่สนใจจะไปทำธุรกิจหรือเปิดตลาดสินค้าและบริการ ในตะวันออกลาง โดยจะชี้ให้เห็นถึงช่องทางโอกาส อุปสรรคต่างๆ ที่ต้องฝ่าฟัน การนำผู้ประกอบการไทยไปจัดงานแสดงหรือร่วมงานแสดงสินค้าในตะวันออกลาง เช่นครั้งที่ผ่านมาล่าสุด ระหว่างวันที่ 9-11 พฤษภาคม 2558 ได้ไปจัดงาน Thai Trade Exhibition OMAN 2016 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก ส่วนในปี 2560 มีกำหนดจัดงาน Thai Trade Exhibition อีก 4 งานใหญ่ที่คูเวต, รัฐชาร์จาห์ ของยูเออี ที่กาตาร์ และบาห์เรน
นอกจากนี้เรายังเตรียมเข้าร่วมงาน GLOBAL VILLAGE DUBAI ซึ่งเป็นงานประจำปีของเขาที่ใหญ่มาก จะจัดระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559-8เมษายน 2560 ในปีนี้จะจัดเป็นปีที่ 21 ในส่วนของไทยในแต่ละปีจะมีผู้ประกอบการเข้าร่วมงานมากกว่า 300 รายในสินค้าที่หลากหลาย
“กลุ่มเหล่านี้ที่ไป พอเขาเริ่มต้นและหาช่องทางที่จะไปได้ มีฐานลูกค้ามีสายสัมพันธ์ระดับหนึ่งเขาก็จะจัดตั้งกิจการอยู่ที่ดูไบ เดี๋ยวนี้โลกแคบลง การขยายสาขามองแค่ในประเทศไม่ได้ เพราะฉะนั้นการขยายสาขาไปต่างประเทศไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ทัพธุรกิจไทยชักแถวบุก
ปัจจุบันธุรกิจของคนไทยที่เข้าไปทำการค้า การลงทุนในตะวันออกลางแล้ว เช่น รองเท้าแอร์โรซอฟต์ที่ปีที่แล้วยูเออีนำเข้า 550 ตู้คอนเทนเนอร์ ทั้งเพื่อจำหน่ายในยูเออี และส่งออกไปที่อื่น ค่ายกิฟฟารีนมีสาขาอยู่ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง 5-6 สาขา กลุ่มซีพี กลุ่มเอสซีจีที่เข้าไปทำการค้า มีร้านอาหารไทยแบรนด์ ปาป้าจูเนียร์ เข้าไปเปิดในลักษณะกึ่งแฟรนไชส์แล้ว 8 สาขา มีธุรกิจนวดสปาไทย มีเครื่องสำอางโยโกะ โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนลไปเปิดศูนย์ฟื้นฟูหลังการรักษา ขณะที่โออิชิ และแม็คโครกำลังศึกษาหาลู่ทางธุรกิจ เป็นต้น
“กลุ่มสินค้าที่มีอนาคตของไทยในตะวันออกกลาง ได้แก่สินค้าที่สอดคล้องกับการเจริญเติบโตของเมือง เช่นสินค้าที่เกี่ยวกับอุปกรณ์วัสดุตกแต่งภายใน ดอกไม้ประดิษฐ์ สินค้ากลุ่มสปา ประเภทเครื่องหอมต่างๆ เครื่องสำอาง สบู่ กลุ่มสมุนไพร และกลุ่มสินค้าแฟชั่น ประเภทเสื้อผ้า เครื่องหนัง รองเท้า อัญมณี รวมถึงกลุ่มอาหาร เพราะเป็นกลุ่มที่มีดีมานต์ และประสบความสำเร็จมากในช่วงที่ผ่านมา
“ตะวันออกกลางส่วนใหญ่เป็นตลาดการค้า ไม่มีผู้ผลิต เพราะปัจจัยการผลิตเขาไม่เอื้อ ตรงนี้ถือเป็นโอกาสของเรา ตลาดนี้ผู้ประกอบการไทยต้องมอง และให้ความสำคัญเพราะลงทุนไม่มาก แต่มีโอกาสทางการค้ามาก เป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง ขณะที่การสร้างแบรนด์ในตะวันออกกลางก็ไม่ยากนักหากเทียบกับที่อื่นของโลก มุมมองสินค้าไทยในตลาดตะวันออกกลางก็เป็นสินค้าที่มีคุณภาพดี ราคาสมเหตุสมผล และที่สำคัญเขามองคนไทยคบเป็นคู่ค้าได้”
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,187 วันที่ 4 – 7 กันยายน พ.ศ. 2559