ห้องเม่าปีกเหล็ก

ECFแตกเพื่อเติบโตในอนาคต

โดย เด็กหมายจันทร์
เผยแพร่ :
75 views

ECFแตกเพื่อเติบโตในอนาคต

 บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) บริษัทที่มีธุรกิจหลักแรกเริ่ม คือการทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพาราเพื่อส่งออก และจำหน่ายในประเทศบางส่วน ตัดสินใจเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เมื่อเดือน มี.ค. 2556 และจนถึงขณะนี้ ECF มีสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่มีการเติบโตที่ดี และแตกไลน์เข้าสู่การทำธุรกิจอื่นๆ ทั้งธุรกิจร้านค้าปลีกในแบรนด์ Can Do แฟรนไชส์จากประเทศญี่ปุ่น และการรุกเข้าสู่ธุรกิจพลังงานทางเลือก อย่างโรงไฟฟ้าชีวมวลที่มีวัตถุดิบหลักในการผลิตจากเศษไม้ยางพารา และกำลังขยายไปสู่โรงไฟฟ้าประเภทอื่นๆ ด้วย


          ธุรกิจในวันนี้เติบโตจากวิสัยทัศน์ของ อารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการและผู้ถือหุ้นใหญ่นั้นเอง โดยในธุรกิจหลักที่ถนัดก็จะบุกเต็มสูบ ส่วนธุรกิจที่จำเป็นจะต้องมีพันธมิตรก็จะใช้วิธีในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน เช่น การทำธุรกิจพลังงานทดแทนก็จะร่วมทุนกับทาง บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) ในการจัดตั้ง บริษัท เซฟ เอนเนอร์จี โฮลดิ้งส์ (SAFE) ในการดำเนินการ


          อารักษ์ บอกว่า แนวโน้มธุรกิจของ ECF ช่วงต่อจากนี้จะสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ ร้านค้าปลีก Can Do ธุรกิจพลังงานทดแทน ที่จะสนับสนุนให้รายได้รวมปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ท่ามกลางสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน  และบริษัทก็มีเป้าหมายที่จะเติบโตให้ได้ในอัตรา 10-15%


          "ไตรมาสแรกปีนี้มีรายได้ 409.75 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดและกำไรสุทธิ 18.63 ล้านบาท จากธุรกิจจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ที่มียอดขายเติบโตสูงขึ้นจากในประเทศที่เติบโตประมาณ 21% ในขณะที่รายได้ส่งออกยังสามารถรักษาระดับรายได้ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าต่างประเทศ 59% ภายในประเทศ 41% และคาดว่าตลาดต่างประเทศครึ่งปีหลังจะมีสัญญาณการเติบโตที่ดีจากกลุ่มลูกค้าหลักในญี่ปุ่นที่จะมีปริมาณการสั่งซื้อมากขึ้นและมีลูกค้ารายใหม่เพิ่ม"


          อย่างไรก็ตาม ในการทำธุรกิจนั้นสมัยนี้จำเป็นมากที่เราจะต้องมีพันธมิตรเพื่อร่วมกันทำธุรกิจ เพราะเราไม่ได้ทำธุรกิจเฉพาะแข่งในประเทศ แต่จะต้องแข่งกับบริษัทข้างนอก


          "กรณีของ ECF และ FPI ที่ร่วมกันตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นมาทำพลังงานทดแทน จะมีการแชร์กันทั้งในด้านของความคิด ด้านการเงิน ด้านเทคนิคต่างๆ ร่วมกัน เพราะในความเป็นจริงเราทำเองทุกอย่างไม่ได้ แต่ถ้าหากมีพันธมิตรที่ดีก็จะสนับสนุนซึ่งกันและกัน" อารักษ์ ระบุ


          สำหรับการร่วมพันธมิตรกันและประสบความสำเร็จร่วมกันอันดับแรกๆ เลยคือ อยู่ที่ความตั้งใจ ความซื่อสัตย์ และที่สำคัญ ความมุ่งมั่นในการทำงาน ซึ่งถ้ามีองค์ประกอบแบบนี้ก็เชื่อแน่ว่าการร่วมกันจะประสบความสำเร็จ


          ทั้งนี้ ในส่วนของธุรกิจพลังงาน ล่าสุด บริษัท อีซีเอฟ พาวเวอร์ (ECF-Power) บริษัทย่อยของบริษัทได้รับมติจาก คณะกรรมการบริษัท เพื่อเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 220 เมกะวัตต์ ของ บริษัท พลังงานเพื่อโลกสีเขียว (ประเทศไทย) (GEP) ณ เมืองมินบู รัฐมาเกวย ประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยเข้าซื้อหุ้นสามัญของ GEP ในสัดส่วน 20% ทั้งนี้อยู่ระหว่างรอมติอนุมัติการเข้าลงทุนดังกล่าวจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นที่จะจัดขึ้นในวันที่ 31 พ.ค. 2560 นี้ การรุกธุรกิจนี้ถือว่าเป็นธุรกิจที่มีโอกาสและสร้างรายได้ประจำให้กับธุรกิจ  และเมื่อในบริษัทมีกำลังผลิตรวมตามคาดหวัง คือ 30-40 เมกะวัตต์ ที่มากพอในอนาคตก็จะแยกตัวออกมาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่นกัน


          นอกจากนี้ ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นโครงการที่ดี เช่นที่ จ.นราธิวาส มีกำลังผลิตติดตั้ง 7.5 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเป็นโรงไฟฟ้าที่จะสร้างรายได้ต่อปีให้กับบริษัทประมาณ 75 ล้านบาท/ปี


          อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธุรกิจพลังงานทดแทนนั้น บริษัทยังสนใจที่จะขยายไปสู่การทำโรงไฟฟ้าประเภทอื่นๆ ด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาเข้าซื้อโรงไฟฟ้าแห่งอื่นๆ อยู่ด้วย โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าที่มีแกลบเป็นเชื้อเพลิง ที่ได้รับผลกระทบจากราคาแกลบแพงที่บริษัทสนใจอยู่


          อารักษ์ กล่าวว่า ในส่วนของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ก็น่าจะเติบโตดีตามการส่งออกของประเทศที่ดีขึ้นมาก  และแนวโน้มไตรมาส 2 การส่งออกยังดี จึงมองว่าธุรกิจนี้น่าจะมียอดขายประมาณ 2,500-3,000 ล้านบาท ขณะที่ตลาดในประเทศ ECF เน้นการทำตลาดของทุกแบรนด์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างหลากหลาย รวมถึงจะมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและเพิ่มจำนวนสินค้าใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าผ่านทุกช่องทางการจัดจำหน่าย อีกทั้งยังมีแผนขยายสาขาแบรนด์ ELEGA โดยปัจจุบันมี 17 สาขา พร้อมกับการขยายสาขาแบรนด์ FINNA HOUSE เพื่อจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ภายใต้ลิขสิทธิ์ DISNEY เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันมี 5 สาขา รวมถึงโอกาสเพิ่มยอดขายตามการขยายสาขาของกลุ่มโมเดิร์นเทรด


          ขณะที่ร้านค้าปลีกรูปแบบร้าน 100 เยน (60 บาท) "Can Do" ปัจจุบันมีสาขารวม 7 แห่ง ได้แก่ ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต, ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์, เดอะ พาซิโอ พาร์ค กาญจนาภิเษก, โฮมโปร รัตนาธิเบศร์, โฮมโปร ราชพฤกษ์, อินเด็กซ์ ลีฟวิ่ง มอลล์ บางใหญ่ และลิตเติ้ล วอล์ค บางนา ในปีนี้บริษัทมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 3 สาขา และตามเป้าหมายอยากขยายให้ได้ 20-30 สาขาในพื้นที่ กทม. และต่างจังหวัดในรูปแบบแฟรนไชส์ 50 สาขา ซึ่งการขยายสาขาจะเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะเพิ่มยอดขายให้เติบโตได้ต่อเนื่อง


          อนาคตทุกธุรกิจที่ ECF ดำเนินการอยู่มีโอกาสที่จะเติบโต และหาก ดูผลดำเนินงานนับตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มาจนถึงปัจจุบันก็เติบโตต่อเนื่อง ปี 2556 มีรายได้ 1,193.31 ล้านบาท ปี 2557 มีรายได้ 1,235.32 ล้านบาท ปี 2558 มีรายได้ 1,358.3 ล้านบาท และปี 2559 มีรายได้ 1,427.74 ล้านบาท ส่วนปี 2560 ECF มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจที่ดีขึ้น การส่งออกที่ขยายตัว ธุรกิจพลังงานทดแทนจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น


          ขณะที่ราคาหุ้นเองปัจจุบันขึ้นมาซื้อขายที่ 3.50 บาท มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) เกือบ 2,000 ล้านบาท


          4 ปีในฐานะ บจ. 4 ปีที่ได้โอกาสจากทุน ECF วันนี้แตกเพื่อโตอย่างแข็งแกร่ง

 

##########################################################

ที่มา http://www.posttoday.com/newspaper/stock/496006


เด็กหมายจันทร์