ห้องเม่าปีกเหล็ก

แนวคิดของลีกวนยู กับการสร้างเครื่องจักรผลิตเงินให้กับคนสิงคโปร์

โดย SiTh LoRd PaCk
เผยแพร่ :
63 views

ประเทศที่น่าจับตามองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากที่สุด คงจะหนีไม่พ้น "สิงคโปร์" เพราะถือเป็นประเทศที่เกิดใหม่และโตเร็วมาก เพราะแยกตัวออกจากมาเลเซียมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2508 จนถึงตอนนี้ก็ประมาณ 56 ปี บริษัทไทยหลายแห่งอายุมากกว่าประเทศสิงคโปร์ ซะอีก
... แต่วันนี้ประเทศสิงคโปร์กลายมาเป็น Financial Hub ที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกไปแล้ว และยังเป็นศูนย์กลางบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management Center) ของบริษัทวาณิชยกิจยักษ์ใหญ่หลายแห่งจากฝั่งระวันตกก็มาบริหารทรัพย์สินให้คนรวยในแถบนี้

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเรื่องของ "ผู้นำ" ที่มากความสามารถและ "การเมือง" ที่นิ่งระดับหนึ่งภายใต้การนำของ "ลีกวนยู" ...

มีโอกาสได้อ่านหนังสือเรื่อง From Third World to First ซึ่งเป็นหนังสือที่่่ลีกวนยูเขียนขึ้นจาก "ความทรงจำ" สมัยที่ยังเป็นผู้นำอยู่ ถ่ายทอดประสบการณ์ของตัวเองเกี่ยวกับการสร้างประเทศสิงคโป มีตั้งแต่เรื่องของการบริหารประเทศ การวิพากษ์วิจารณ์การเมืองประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (แน่นอนว่ามีไทยด้วย...) การแก้ปัญหาคอรัปชั่น การบังคับใช้กฏหมายที่เข้มงวด การปกครองแบบประชาธิปไตยภายใต้การกดดันของคอมมิวนิสต์ที่กำลังเรืองอำนาจ

ลีกวนยู แนะนำว่าอยากให้ชาวสิงคโปร์อ่านหนังสือเล่มนี้เพราะจะได้เข้าใจประเทศนี้มากขึ้น และที่สำคัญคือการศึกษาเรื่องราวในอดีต จะทำให้เราเห็นภาพในอนาคต
... สิ่งที่น่าสนใจจากหนังสือเล่มนี้และอยากนำมาเล่าสู่กันฟังจริงๆคือ แนวคิดการตั้งกองทุน CPF หรือ Central Provident Fund ซึ่งแนวคิดเหมือนประกันสังคมบ้านเรา และถือเป็นเครื่องจักรผลิตเงินให้กับคนวัยทำงานแบบอัตโนมัติอีกด้วย

ในหนังสือกล่าวว่า เขาบริหารประเทศสิงคโปร์จนมาถึงจุดหนึ่งที่ "ความเหลื่อมล้ำ" สูงมาก คนรวยก็คือรวยไปเลย ในขณะที่คนจนก็คือแทบจะไม่มีเงินใช้จ่าย อาจจะเพราะว่าแนวคิดระบอบคอมมิวนิสต์เข้ามาแผ่อิทธิพลอย่างเข้มข้นทำให้คนเริ่มตั้งคำถามว่า ทำไมคนถึงไม่เท่ากัน ถ้าคนนั้นรวย ฉันก็ต้องรวยไปด้วย คนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีอะไรเหมือนๆกัน
... ดังนั้นกลุ่มคนที่เชื่อระบอบคอมมิวนิสต์จึงเป็นคนที่ "รอ" อะไรสักอย่างจากภาครัฐให้เข้ามาช่วยเหลือ พอนานวันเข้ากว่าที่พวกเขาจะรู้ตัวก็กลายมาเป็นคนจนเรียบร้อยแล้ว

สิงคโปร์เน้นย้ำมาตลอดว่า ประเทศจะเจริญได้ต้องเป็น "ทุนนิยม" คือคนทำมากย่อมได้มาก คนทำน้อยหรือขี้เกียจก็จะได้น้อย ...
แต่สำหรับลีกวนยูนั้นประเทศต้องเป็นทุนนิยม แต่รัฐบาลต้องมีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ บังคับใช้กฏหมายอย่างเท่าเทียมและเคร่งครัด
เขาเลยมีแนวคิดเรื่องของการก่อตั้งกองทุน CPF หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกลาง ซึ่งคนสิงคโปร์ทุกคนจะโดนบังคับให้ต้องส่ง และนายจ้างช่วยด้วยส่วนหนึ่ง มองดูแล้วคล้ายๆประกันสังคมบ้านเรายังไงอย่างงั้น ...

โดยรายละเอียด คือ คนที่มีรายได้ต้องจ่ายเงิน 20% เข้ากองทุน และนายจ้างจะช่วยส่งอีก 16% เข้าบัญชี CPF ซึ่งจะเป็นเงิน "ของใครของมัน" ไม่ใช่ของกองกลาง ซึ่งจะตัดปัญหาเรืองเงินเข้าน้อย แต่เงินออกมากในท้ายทีสุด
ลีกวนยู มองว่าประชากรในประเทศมีน้อย สักวันอาจจะต้องเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และมีอายุยาวขึ้น กลายมาเป็นวัยเกษียณนำเงินออกจากกองทุนนี้มาก คนเหล่านี้มีอายุยาวขึ้นก็ต้องจ่ายเงินให้คนเหล่านี้ยาวนานขึ้น และคนรุ่นใหม่วัยทำงานน้อย จึงส่งเงินเข้ากองทุนนี้น้อย ทำให้เกิดปัญหา "เสถียรภาพ" ของกองทุน คือ เงินหมด
ดังนั้น สิงคโปร์เห็นว่าไม่ถูกต้องที่จะเอาเงินจากคนที่ทำงานที่ประกันตนไปจ่ายบำนาญแก่คนที่เกษียณอายุ จึงเลือกใช้ระบบ CPF ที่แรงงานออมได้เท่าไร เมื่อเลิกทำงานก็ได้เงินคืนบวกผลประโยชน์จากการลงทุนโดยไม่ต้องห่วงว่าจะเอาไปให้คนอื่นใช้

การสร้างค่านิยมที่ว่า เงินออมของเรา ก็คือของเรา (ไม่ใช่เงินออมของเรา ให้คนอื่นใช้) ทำให้เกิดผลประโยชน์ 2 ทาง คือ
1. การส่งเงินเข้ากองทุนเป็น "หน้าที่" และคนที่มีหน้าที่ทำให้ต้องทำงานหนักทำให้เกิดประสิทธิภาพ เพื่อว่าเวลาเกษียณจะได้อยู่อย่างไม่ลำบาก หรือถ้าเสียชีวิต คนที่อยู่ข้างหลังจะได้ผลประโยชน์ต่อไป
2. ทำให้คนสิงคโปร์รู้สึกว่า เขาส่งเงินให้กองทุน CPF ก็เพื่อตนเอง เข้าบัญชีของตนเองเพื่อไว้ใช้จ่ายด้านต่างๆ ซึ่งครอบคลุมทั้งค่ารักษาพยาบาล ทุพพลภาพ ตาย ที่อยู่อาศัย บำเหน็จบำนาญชราภาพ แต่ไม่มีกรณีว่างงาน สมาชิกในครอบครัวสามารถนำเงินมารวมกันได้ เช่น พี่น้อง สามีภรรยา ซึ่งสมาชิกสามารถดึงเงิน CPF มาใช้จ่ายเป็นกรณีๆ ไป โดยทั้งหมดนี้เป็นเงินจากบัญชีของสมาชิกแต่ละโดยตรง ไม่มีการเอาไปกองรวมกัน

 

สุดท้าย แนวคิดของลีกวนยู ก็สรุปได้ว่า ประเทศที่จะก้าวขึ้นมาเป็นประเทศโลกที่ 1 คือรวยและสงบสุขได้นั้น ประชากรต้องมี 2 อย่าง นั้นคือ "อิ่มท้อง" และ "มั่งคั่ง" ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไป ก็ยากที่ประเทศนั้นจะสงบสุข
... หนังสือ From Third World to First ตีพิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่ปี 2543 ผ่านมาแล้วกว่า 20 ปี แต่เนื้อหาก็ยังดูทันสมัยมากๆครับ


SiTh LoRd PaCk